สาขาต่างประเทศของแบงก์กรุงเทพสามารถสร้างผลกำไรได้ประมาณปีละกว่า 1,000
ล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของผลกำไรรวมของธนาคาร มีการอำนวยสินเชื่อของสาขาในต่างประเทศเมื่อสิ้นปี
2534 รวม 95,192 ล้านบาทหรือคิดเป็น 19% ของตัวเลขการการปล่อยสินเชื่อทั้งหมดของธนาคารตัวเลขเหล่านี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ธนาคารกรุงเทพซึ่งได้รับฐานะเป็นธนาคารชั้นนำของภูมิภาคกำลังผลักดันตนเองให้เป็นธนาคารของย่านเอเชียแปซิฟิกอย่างสมบูรณ์
!!
มีผู้กล่าวว่านักธุรกิจไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศเวลานี้ เป็นเหมือนหน่วยกล้าตาย
เป็นผู้บุกเบิกที่เดินเข้าไปในตลาดต่างประเทศดุ่ยๆ โดยขาดหน่วยสนับสนุน
ความหมายของคำกล่าวนี้ก็คือบรรดาธุรกิจไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศต้องการหน่วยสนับสนุนซึ่งหมายถึงทางการ
คือแบงก์ชาติ และธนาคารพาณิชย์ไทย
แต่แบงก์ไทยส่วนมากนั้นยังทำธุรกิจอยู่ภายในประเทศ เพราะในประเทศธุรกิจดีอย่างมากๆ
มีอัตราการเติบดตสูงและทำกำไรได้ดี
บรรดากิจการไทยที่ไปลงทุนต่างประเทศโดยส่วนมากจึงต้องใช้บริการทางการเงินของธนาคารหรือสถาบันการเงินต่างประเทศ
กิจการเหล่านี้จึงเป็นเสมือนหน่วยกล้าตายที่ขาดการสนับสนุนจากธนาคารไทย
แต่ธนาคารไทยเองนั้น ก็ต้องเป็นหน่วยกล้าตายด้วยเหมือนกันในการออกไปดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศ
เพียงแต่ว่ากิจการธนาคารต่างจากกิจการอื่นๆ ตรงที่ไม่ต้องการหน่วยสนับสนุนด้านทุนเหมือนกิจการอื่น
กล่าวได้ว่าธนาคารกรุงเทพเป็นผู้บุกเบิกการลงทุนธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศเป็นแห่งแรกของไทยเมื่อ
30 ปีก่อน
ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ว่า "เราไม่เคยคิดหรือแม้แต่ในอนาคตต่อไปข้างหน้าก็ตาม ไม่มีนโยบายที่จะให้กิจการสาขาต่างประเทศมาเป็นพระเอกมันเป็นไปไม่ได้"
คำพูดของวิชิตตีความได้ว่าแม้กิจการสาขาต่างประเทศจะทำกำไรได้มากก็จริง
แต่ธุรกิจหลักของธนาคารกรุงเทพยังคงอยู่ภายในประเทศมากกว่า
วิชิตชี้ให้ดูกิจการสาขาของแบงก์ต่างชาติในประเทศไทย เป็นตัวเปรียบว่าทำไมกิจการสาขาของแบงก์กรุงเทพในต่างประเทศ
จึงไม่สามารถเป็น "พระเอก" ตัวจริงในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้
แบงก์ต่างชาติในไทยไม่สามารถเติบโตได้มากกว่าแบงก์ไทยด้วยเหตุผลสำคัญคือแบงก์ไทยได้รับการปกป้องคุ้มครองจากทางการอย่างมากๆ
ขณะที่แบงก์ต่างชาติต้องดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบข้อกำหนดของธนาคารชาติเท่านั้น
เมื่อแบงก์ไทยมีปัญหาทางด้านการบริหารหรือได้รับผลกระทบจากภาวะทางเศรษฐกิจ
ก็มักจะได้รับความช่วยเหลือโอบอุ้มจากทางการคือธนาคารชาติอยู่เสมอ ด้วยกรอบความคิดของทางการที่ไม่ยอมให้เกิดวิกฤติในระบบธนาคารพาณิชย์
อันจมีผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศดังที่เคยเกิดขึ้นแล้ว
การที่แบงก์ต่างชาติจะแข่งขันกับแบงก์ไทยในประเทศไทยจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เพราะมีเงื่อนไขในการทำธุรกิจที่แตกต่างกัน
ดังนั้นสิ่งที่เป็นอยู่คือต่างคนต่างทำมาหากินตามช่องทางที่ตนมี
ธุรกิจหลักของแบงก์ต่างชาติในไทยคือให้บริการทางการเงินแก่กิจการของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
เช่น แบงก์ญี่ปุ่นก็มักจะให้บริการแก่นักลงทุนญี่ปุ่นเป็นส่วนมาก
นี่ก็คือลักษณะของสาขาแบงก์ไทยในต่างประเทศเช่นกัน
ความแตกต่างอยู่ตรงที่ธุรกิจไทยยังไม่ออกไปลงทุนในต่างประเทศมากนัก และพวกที่ออกไปนั้นก็ต้องใช้บริการของสถาบันการเงินต่างประเทศ
แต่ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมาที่มีการลงทุนในจีนตอนใต้และอินโดจีนกันเป็นจำนวนมากเพราะเป็นเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่
ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไทยหลายแห่งต้องออกไปเปิดสาขาในบริเวณดังกล่าวกันเป็นจำนวนมาก
ธนาคารกรุงเทพให้ความสนใจสาขาต่างประเทศและเป็นผู้ที่อยู่ในตลาดต่างประเทศนานกว่าธนาคารอื่นๆ
ไพบูลย์ อิงคะวัต รองผู้จัดการฝ่ายอาวุโส ดูแลสายบริการสินค้าเข้าและสินค้าออก
ซึ่งเคยดูแลกิจการสาขาต่างประเทศและเป็นผู้บุกเบิกสาขาธนาคารกรุงเทพที่จาการ์ตาเล่าให้
"ผู้จัดการ" ฟังว่า "ตอนนั้นคุณชินบอกให้ผมไปบุกเบิกสาขาที่จาการ์ตาหน่อย
ทั้งที่ผมไม่รู้จักใครสักคนเพราะเวลานั้นผมดูสาขาที่ลอนดอนอยู่ แล้วบังเอิญผู้จัดการที่สิงคโปร์ที่ถูกวางตัวให้ไป
เกิดไม่ยอมไปขึ้นมา ผมก็ต้องไป จากลอนดอนไปอินโดนีเซีย"
ช่วงที่ไพบูลย์ไปบุกเบิกสาขาที่จาการ์ตานั้นเป็นช่วงที่ ชิน โสภณพนิช โดนภัยการเมืองในประเทศต้องเร่ร่อนเดินทางอยู่ต่างประเทศ
ที่โตเกียวบ้าง ฮ่องกงบ้าง และพำนักที่สิงคโปร์นานกว่าที่อื่นๆ
แต่ช่วงที่ชินอยู่ต่างประเทศนี้ ไพบูลย์กล่าวว่า "เป็นช่วงที่แบงก์กรุงเทพเจริญที่สุดในสาขาต่างประเทศเพราะคุณชินได้เดินทางไปบ่อยและท่านความจำดีมาก
เมื่อผมเสนอรายงานให้นั้นท่านจำได้ว่าเดือนนี้ตัวเลขเดือนนี้ดีกว่าเดือนที่ผ่านมาเท่าไร"
ก่อนหน้าที่ไพบูลย์จะไปจาการ์ตา มีการส่งเจ้าหน้าที่ 2 คนเข้าไปศึกษากฎหมายการทำธุรกิจอะไรได้บ้างอะไรที่ทำไม่ได้บ้าง
แต่ปรากฏว่าก่อนหน้าที่แบงก์จะเปิดสาขาได้ 1 เดือน "กฎหมายนี้ก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว
ข้อบังคับต่างๆ เกี่ยวกับธนาคารพาณิชย์นี่เปลี่ยนใหม่หมด" ไพบูลย์เล่า
ประสบการณ์การทำธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศซึ่งมีวิธีการทำธุรกิจที่ต่างออกไปตามระเบียบของแต่ละประเทศ
ที่อินโดนีเซียสมัยนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากร้อยละ 4 ต่อเดือน และจ่ายดอกเบี้ยให้ทุกๆ
เดือน ระเบียบปฏิบัติเช่นนี้ทำให้ไพบูลย์ต้องคิดหนักว่าจะเอาอะไรไปสู้กับเขา
นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดด้วยว่าแบงก์ต่างชาติที่จะเข้าไปเปิดสาขา ต้องมีการนำเงินดอลลาร์ไปลงทุนด้วย
1 ล้านเหรียญ
ไพบูลย์แก้ปัญหาเหล่านี้ทีละเปลาะ โดยนำเงินเข้าไปลงทุนซื้อที่ดินซึ่งใช้เป็นสำนักงานสาขาฯ
ในปัจจุบัน แล้วชักชวนเพื่อนฝูงที่รู้จักทั้งหลายให้เอาเงินไปฝากที่แบงก์กรุงเทพสาขาจาการ์ตา
โดยอาศัยช่องโหว่ที่อินโดนีเซียไม่มีการควบคุมเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
และจูงใจลูกค้าด้วยอัตราดอกเบี้ย 4% ต่อเดือนหรือร้อยละ 48 ต่อปีเทียบกับอัตราเงินเฟ้อของอินดดนีเซียเวลานั้นที่อยู่ที่
20% กว่าแล้ว ลูกค้าเงินฝากของแบงก์กรุงเทพสาขาจาการ์ตายังได้กำไรอยู่ดี
เพียงแต่ต้องเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเล็กน้อย
ผลการดำเนินงานของสาขาแบงก์กรุงเทพที่จาการ์ตาสมัยไพบูลย์ไปบุกเบิกนั้นประสบความสำเร็จอย่างมากๆ
ขนาดดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ผู้ว่าการธนาคารชาติในเวลานั้นยังอดทึ่งในความสำเร็จนี้ไม่ได้
ประสบการณ์ของไพบูลย์แม้จะเป็นแบบนายแบงก์รุ่นเก่า แต่ในเวลานี้ก็ยังสามารถประยุกต์ใช้กับกิจการสาขาต่างประเทศบางแห่งของแบงก์กรุงเทพได้
ทั้งนี้หลังจากที่มีการเปิดประเทศในกลุ่มอินโดจีนและประเทศจีนแล้ว ธนาคารพาณิชย์ไทยสนใจไปเปิดสาขาในแถบนี้กันมาก
ธนาคารกรุงเทพก็มีสาขาที่กัมพูชา เวียดนาม และจีนตอนใต้แล้ว
การทำธุรกิจในดินแดนเหล่านี้ไม่อาจใช้ธรรมเนียมการทำธุรกิจธนาคารพาณิชย์สากลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
เพราะเงื่อนไขของประเทศเหล่านี้เป็นแบบสังคมนิยมที่เพิ่งเปิดตัวรับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
ยังไม่มีกฎระเบียบสำหรับการทำธุรกิจแบบทุนนิยม
อย่างที่กัมพูชานั้นอาจจะต้องใช้วิธีแบบท่าน้ำราชวงศ์หรือการทำธุรกิจธนาคารแบบโบราณ
ไพบูลย์เปิดเผยว่า "ทุกวันนี้เราใช้วิธีให้เจ้าหน้าที่แบงก์หิ้วเงินจากพนมเปญเข้ากรุงเทพครั้งละ
2-3 ล้านเหรียญ หากมีเงินสดในพนมเปญมากเกินไป หรือในทางกลับกัน หากเงินสดไม่พอก็เข้ามาหิ้วจากกรุงเทพฯ
ไป"
กรรณิการ์ ศรีศิลปวงศ์ เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสของเชสแมนฮัตตันแบงก์ในกรุงเทพฯ
กล่าวว่า "วิธีนี้แบงก์ต่างชาติคงไม่สามารถทำได้ แบงก์อเมริกันที่ไหนจะยอมให้ทำ
แล้วจะลงบัญชีกันอย่างไร"
แต่ที่แบงก์กรุงเทพทำได้ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นข้อยกเว้นในเงื่อนไขพิเศษของแต่ละแห่ง
ความที่เป็นแบงก์ท้องถิ่นและเติบใหญ่จนเป็นแบงก์ใหญ่สุดในภูมิภาคเป็นข้อได้เปรียบในการทำธุรกิจ
ไม่เฉพาะในไทยแต่ยังรวมถึงในอินโดจีนและจีนตอนใต้ ซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจใหม่ที่มีอัตราการเติบดตสูงมาก
แบงก์กรุงเทพมีสาขาต่างประเทศทั้งสิ้น 18 แห่ง สาขาส่วนมากอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เช่น ฮ่องกง 3 แห่ง จีน มาเลย์ กัมพูชา เวียดนาม ประเทศละ 1 แห่ง
แต่ที่จีนนั้นยังมีสาขาที่อยู่ระหว่างการขออนุญาตตั้งเพิ่มอีกที่เซียะเหมิน
กวางโจว และเซี่ยงไฮ้ หลังจากเปิดสาขาที่ซัวเถาไปแล้วเมื่อเดือนธันวาคม 2535
สำหรับสาขาที่เวียดนามนั้น วิชิตเปิดเผยถึงแนวทางการทำธุรกิจว่า "ต้องเป็นเทรดไฟแนนซ์แน่นอน
และนี่เป็นลักษณะของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่แบงก์กรุงเทพมีความถนัดมากที่สุดคือสามารถทำได้เลย"
นอกจากนี้ ในเงื่อนไขของเวียดนามในฐานะที่เป็นประเทศสังคมนิยมที่เพิ่งเปิดตัวรับระบบเศรษฐกิจทุนนิยม
บทบาทอย่างหนึ่งที่แบงก์กรุงเทพจะทำด้วยคือการเป็นตัวกลางระหว่างนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในเวียดนาม
"ประเทศอย่างนี้ ต้องการพาร์ตเนอร์ต่างประเทศที่จะช่วยทั้งในเรื่องเทคโนโลยี
และเรื่องทุน เขาต้องเดินนโยบายทางนี้แน่ ไม่สามารถเปิดประตูพัฒนาตัวเองได้
บทบาทเรื่องการหาเงิน หาโนว์ฮาว การบริหารจากต่างประเทศ อันนี้แบงก์กรุงเทพสามารถเป็นตัวเชื่อมได้"
วิชิตกล่าว
เขาไม่ได้มองการเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างไทยกับเวียดนามเท่านั้น แต่มองถึงนักลงทุนจากทั่วภูมิภาคเอเชีย
วิชิตให้เหตุผลว่า "แบงก์กรุงเทพอยู่ในตลาดเอเชียมานาน ลูกค้าของเรามีทั้งคนไทย
สิงคโปร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากไต้หวันซึ่งมีเยอะมาก"
ทั้งนี้แบงก์กรุงเทพมีสาขาที่ไต้หวันถึง 2 แห่ง สาขาที่นี่ประสบความสำเร็จในนโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างมาก
ซึ่งนโยบายนี้จะนำไปใช้กับสาขาที่จีนตอนใต้ด้วย
ประสงค์ อุทัยแสงชัย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า "สาขาที่จีนตอนใต้จะเน้นการปล่อยสินเชื่อเพื่ออุตสาหกรรมส่งออก
75% สินเชื่อบุคคล 10-15% และสินเชื่อโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่และธุรกิจซื้อขายที่ดินประมาณ
10% เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการทำธุรกิจ"
ทั้งนี้ประสงค์มองธุรกิจก่อสร้างและซื้อขายที่ดินในประเทศจีนตอนใต้ว่าถึงจุดอิ่มตัวแล้ว
หลังจากที่เคยขยายตัวปีละ 30% ถึง 2 ช่วง คือระหว่างปี 2529-2530 และชะลอตัวในปี
2532 หลังจากนั้นจึงกลับมาขยายตัวอีกในช่วงปี 2533-ต้นปี 2534
ปัจจุบันประสงค์มองว่าไม่ควรเข้าไปลงทุนธุรกิจที่ดินและการก่อสร้างอีกเพราะต้นทุนเริ่มมีราคาสูงมากเกินไป
ประกอบกับโครงการต่างๆ เริ่มเสร็จสมบูรณ์และเปิดให้บริการได้ หากมีการลงทุนเข้าไปอีกก็จะทำให้เกิดภาวะล้นตลาดได้
ธุรกิจที่ประสงค์มองว่ามีโอกาสการลงทุนมากที่สุดคืออุตสาหกรรมการส่งออก
ซึ่งจีนตอนใต้มีแรงงานและวัตถุดิบมากมายมหาศาล อีกทั้งบริเวณนี้เป็นเขตติดชายฝั่งทะเลซึ่งสะดวกต่อการขส่งสินค้าเป็นอย่างยิ่ง
จะเห็นได้ว่าการทำธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศนั้นมีเทคนิคหลายอย่าง
สมัยบุกเบิกนั้นแบงก์กรุงเทพต้องไปสร้างธุรกิจเองเป็นด้านหลัก อย่างกรณีของไพบูลย์ในจาการ์ตา
แต่มาในระยะหลัง แบงก์ค่อนข้างสบายในแง่ที่มีปริมาณธุรกิจมากพอสมควรที่จะเข้าไปตั้งสาขาให้บริการ
ถึงจะมีลูกค้าคนไทยน้อย แต่อาศัยโอกาสทางเศรษฐกิจที่เปิดใหม่ทำให้มีความต้องการใช้บริการทางการเงินสูงมาก
นั่นหมายความว่าแบงก์ตามลูกค้าเข้าไปทำธุรกิจด้วย ซึ่งประโยชน์สำคัญที่แบงก์ได้รับจากการไปต่างประเทศ
ไม่ใช่แต่เพียงการขยายบริการทางการเงินอำนวยความสะดวกทางการเงินแก่ลูกค้าของแบงก์ที่ไปลงทุนในต่างประเทศเท่านั้น
แต่แบงก์ยังสามารถหาแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำจากตลาดต่างประเทศเพื่อเอามาปล่อยสินเชื่อในประเทศหรือในต่างประเทศนั้นๆ
ได้อีกด้วย
วิชิตเปิดเผยเรื่องนี้กับ "ผู้จัดการ" ว่า "เรื่อง Forign
Funding นี่เราไม่แพงกว่าคนอื่นไม่อยากอ้างว่าถูกที่สุด แต่ไม่แพงกว่าคนอื่น
อันนี้เป็น goodwill ของ BBL ที่เราสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำเหล่านี้ได้
เพราะเราอยู่ในตลาดต่างประเทศมานานกว่าคนอื่นๆ"
นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยยังสนับสนุน ให้แบงก์พาณิชย์ไทยออกไปเปิดสาขาในเขตเศรษฐกิจใหม่ทั้งสอง
อย่างเต็มที่ด้วยการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ และโดยเฉพาะการตั้ง BIBF ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อความคล่องตัวในการให้บริการทางการเงินแก่ตลาดอินโดจีนโดยเฉพาะ
มาตรการที่เกิดขึ้นในระยะหลังเหล่านี้ เป็นเครื่องประกันได้ว่านักธุรกิจไทยที่ออกไปลงทุนในตลาดเกิดใหม่ทั้งสองแห่ง
จะไม่โดดเดี่ยวหรือเป็นหน่วยกล้าตายอีกต่อไป แต่ธนาคารพาณิชย์ไทยที่เพิ่งให้ความสำคัญกับสาขาต่างประเทศจะดำเนินธุรกิจได้ดีขนาดไหน
เป็นเรื่องที่ต้องรอ ดูกันต่อไป
จะมีข้อยกเว้นก็คือธนาคารกรุงเทพที่มีชื่อเสียงและความสัมพันธ์ในภูมิภาคนี้อยู่พอสมควรทำให้ลูกค้าไม่จำกัดอยู่เฉพาะนักลงทุนไทย
นี่เป็นข้อได้เปรียบสำคัญสำหรับสาขาต่างประเทศของธนาคารกรุงเทพในอินโดจีนและจีนตอนใต้
ซึ่งหากสามารถเชื่อมโยงสายสัมพันธ์กับนักธุรกิจในย่านแปซิฟิกเข้าด้วยกันได้แล้ว
ธนาคารก็อาจจะบรรลุเป้าหมายการเป็นธนาคารของย่านเอเชียแปซิฟิกอย่างสมบูรณ์