|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ธุรกิจบ้านมือสองยังซบต่อเนื่อง คาดปี2550ล่วงอีก 10% นายหน้าบ้านมือสองวอนรัฐปรับเกณฑ์กระตุ้นตลาดใหม่ ลดภาษีผู้ประกอบการปรับปรุงบ้านมือสอง - โน้มน้าวแบงก์สนับสนุนสินเชื่อ เตือนลูกค้าอย่าซื้อบ้านใหม่เกินตัวเหตุเศรษฐกิจมีความผันผวน
นายวิศิษฐ์ คุณาทรกุล ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เรียลตี้เวิลด์ อัลไลแอนซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ธุรกิจบ้านมือสองในปี 2550 ว่า มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2549 ประมาณ 10% ขณะที่ในปีที่ผ่านมาบ้านมือสองมีอัตราการเติบโตลดลงประมาณ 5-10% จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้น ทั้งภาวะความไม่สงบต่างๆ , อัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมัน แม้ว่าราคาบ้านมือสองจะถูกกว่าบ้านมือหนึ่ง แต่การที่ผู้บริโภคเกิดความไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจได้ก่อผลกระทบให้ผู้ซื้อบ้านชะลอการตัดสินใจซื้ออกไปอีก
" แม้ว่าภาวะความไม่สงบหรือความกดดันทางด้านเศรษฐกิจส่งผลให้คนไม่กล้าซื้อบ้าน และส่วนหนึ่งหันมาซื้อบ้านมือสองเพราะราคาถูกกว่า แต่ไม่มากเพียงพอที่จะทำให้ตลาดขยายตัวขึ้นมาได้ เนื่องมาจากนโยบายการเข้ามาเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทำให้ยอดของผู้กู้ซื้อบ้านไม่ผ่านกว่า 30%
สำหรับมาตรการกระตุ้นตลาดบ้านมือสองที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ นายวิศิษฐ์กล่าวว่า แม้รัฐบาลโดยกระทรวงการ คลังจะออกมาตรการกระตุ้นตลาดบ้านมือสอง โดยการลดค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% การลดค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.11% และการยกเว้นอากรแสตมป์ มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2548 โดยมาตรการดังกล่าวจะสิ้นสุดปี 2550 ซึ่งนับตั้งแต่มีการนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ กลับไม่ได้ผลเท่าที่ควร เนื่องจากมาตรการดังกล่าวมีข้อปฏิบัติที่ยุ่งอยากในการใช้ โดยเฉพาะผู้ขายต้องมีชื่ออยู่ในสำเนาทะเบียนบ้านหลังที่จะขายไม่น้อยกว่า 1 ปี เป็นต้น ทำให้เกิดข้อจำกัดกับผู้ขายอย่างมาก ประกอบกับการนำมาตรการทางภาษีมาใช้อย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นตลาดได้ ซึ่งควรพิจารณานำมาตรการอื่นๆเข้ามาเสริม อาทิ การยกเลิกบัญชีรายชื่อในเครดิตบูโร หรือทางด้านภาคสถาบันการเงินควรสะสางลูกหนีให้จบ เพราะบัญชีส่วนใหญ่เกิดขึ้นตั้งแต่หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 สถาบันการเงินควรมีการล้างบัญชีหรือเรียกลูกหนี้มาเจรจาผ่อนชำระ แต่หากไม่ชำระควรฟ้อมล้มละลายเพื่อให้ลูกหนี้ดังกล่าวกลับมาเริ่มต้นชีวิตได้ตามปกติ
นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของสินทรัพย์รอการขาย(NPA)และหนี้เสียในสถาบันการเงิน ที่ได้ดำเนินการตั้งสำรองหนี้ไปแล้วนั้น ตนคิดว่า ควรมีการตัดหนี้ส่วนขาดทิ้งเช่นเดียวกับในต่างประเทศ เพราะที่ผ่านมามีปัญหาว่าผู้ซื้อเมื่อซื้อมาแล้ว สถาบันการเงินแห่งใหม่กลับไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากเกรงว่าสถาบันการเงินเดิมจะตามทวงหนี้ส่วนขาด ซึ่งกำลังเป็นปัญหาอย่างมากในปัจจุบัน
"ในส่วนของผู้ซื้อเอง จากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ทำให้กำลังซื้อลดลง ดังนั้นผู้ซื้อจะสามารถซื้อบ้านได้ในราคาต่ำลงกว่าในอดีต อีกทั้งภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจ ยิ่งกดดันให้ผู้บริโภคควรซื้อบ้านตามกำลังซื้อ ไม่ใช่ซื้อบ้านใหญ่หรือราคาแพงเกินตัว เพราะอาจทำให้เป็นหนี้เสียได้ ควรคำนวณกำลังผ่อนชำระหนี้ในระยะยาวให้ดี " นายวิศิษฐ์กล่าวและว่า
ในส่วนของธุรกิจการซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงใหม่นั้น พบว่า แม้จะมีแนวโน้มที่ขยายตัว แต่ธุรกิจดังกล่าวยังมีอุปสรรคในเรื่องของการเสียภาษีที่ซ้ำซ้อนถึง 2 ขั้น คือ โอนซื้อเข้ามาเสียภาษีประมาณ 5% และเมื่อจะขายต่อต้องเสียภาษีอีก 6.3% เมื่อรวมกับค่าปรับปรุงบ้านกว่า 10% จะทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่มกว่า 20% ทำให้แข่งขันในตลาดได้ยาก ดังนั้นจึงต้องการให้รัฐบาลช่วยลดภาษีในส่วนดังกล่าวเพื่อช่วยให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปได้
|
|
|
|
|