|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บลจ.พรีมาเวสท์ไม่สนแบงก์ชาติตั้งเกณฑ์กันสำรองเงิน 30% เดินหน้าลุยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ต่ออีก 2 กอง ลงทุนทั้งอาคารสำนักงาน-เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์-โรงแรม ยืนยันแม้ธปท. ยังไม่ผ่อนปรนมาตรการสกัดกั้นค่าเงินบาท ก็จะเดินหน้าระดมทุน เล็งเป้าหมายกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นหลัก
นายเพิ่มพล ประเสริฐล้ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) พรีมาเวสท์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อีกอย่างน้อย 2 กองทุน โดยกองทุนแรกจะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอาคารสำนักงานและที่อยู่อาศัยประเภทเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ซึ่งอาจจะนำมาคละกันและจัดตั้งเป็นกองทุน โดยกองทุนดังกล่าวมีมูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนอีกกองทุนนั้น จะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทโรงแรม และคาดว่าจะสามารถระดมทุนได้ประมาณช่วงครึ่งหลังของปี
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเพิ่มทุนโครงการสำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เจซี (JCP) มูลค่าโครงการ 620 ล้านบาท ซึ่งได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เป็นวันแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งสินทรัพย์ที่จะนำเข้ามาอยู่ในกองทุนนั้น อาจจะเป็นทรัพย์สินของเจ้าของเดิมหรือสินทรัพย์ใหม่ด้วย
ทั้งนี้ จากมาตรการกันเงินสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีผลรวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) ด้วยนั้น ส่งผลกระทบต่อกองทุนกองใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้นพอสมควร โดยเฉพาะสัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติ ถึงแม้จะเป็นการลงทุนในระยะยาวก็จริง แต่เขาคงไม่ต้องการกันเงินสำรองไว้ 30% ในปีแรกโดยไม่มีผลตอบแทนอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม กองทุนใหม่ที่จะออกมาคงต้องหันมาดูนักลงทุนสถาบันในประเทศแทน ถึงแม้จะข้อจำกัดหลายอย่างโดยเฉพาะเม็ดเงินลงทุนที่น้อยกว่า แต่หากธปท. สามารถผ่อนผันมาตรการดังกล่าวสำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ได้หรือมีความชัดเจนมากกว่านี้ ก็เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อตลาดกองทุนรวมอสังหาฯ แน่นอน เนื่องจากปัจจุบันนักลงทุนเองก็เริ่มรู้จักและเข้าใจการลงทุนมากขึ้น ซึ่งในส่วนของผู้ประกอบการเองก็ไม่อยากให้การขยายตัวต้องมาสะดุดลงทุนมาตรการของธปท.
"สำหรับกองทุนใหม่ที่จะออกมาคงต้องดูนักลงทุนสถาบันในประเทศมากขึ้น แต่นักลงทุนต่างประเทศก็คงต้องมีบ้างคละกันไป ซึ่งในส่วนขนาดของกองทุนเองเราก็คงไม่ทำให้ใหญ่มากนัก โดยหากระดมทุนได้แล้วก็สามารถมาเพิ่มทุนภายหลังได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายกว่า"นายเพิ่มพลกล่าว
นายเพิ่มพลกล่าวว่า ถึงแม้ว่าการลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จะไม่ได้รับการผ่อนปรนจากมาตรการกันเงินสำรอง 30% ของธปท. ก็ยืนยันที่จะระดมทุนต่อไป โดยในระหว่างนี้ก็จะดำเนินการยื่นเสนอข้อมูลขอจัดตั้งกองทุนกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปก่อน เพราะหากธปท. ผ่อนปรนแล้วจะสามารถเปิดขายกองทุนได้ทันที ในแง่ของนักลงทุนเอง ก็ต้องเร่งทำความเข้าใจให้มากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ทางสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) เอง ก็กำลังอยู่ระหว่างหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวให้มีความชัดเจนโดยเร็ว โดยจุดประสงค์หลักที่สมาคมต้องการก็คือ ให้การลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ได้รับการผ่อนผันจากมาตรการกันเงินสำรอง 30% ของธปท. เช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นด้วย
สำหรับแผนงานในปีนี้ บริษัทเตรียมเปิดขายกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) อีก 1 กองทุนในช่วงเดือนมกราคมนี้หลังจากต้องเลื่อนออกไปจากเดิมที่มีแผนจะระดมทุนตั้งแต่ปลายปี 2549 ที่ผ่านมา ซึ่งกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นแถบเอเชีย-แปซิฟิก ส่วนกองทุนหุ้นในประเทศตอนนี้ คงยังไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสม ซึ่งเราเองก็มีแผนจะจัดตั้งกองทุนเช่นกัน แต่ในสถานการณ์แบบนี้คงเน้นทำการตลาดสำหรับกองทุนเก่าที่มีอยู่แล้วไปก่อน
"กองทุนหุ้นในปีนี้ เราคงเน้นกองทุน FIF เป็นหลัก เพราะตลาดหุ้นบ้านเราเองไม่สู้ดีนัก จากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น ซึ่งในส่วนของกองทุน FIF ก็เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น เพราะถือเป็นอีกช่องทางในการกระจายความเสี่ยงนอกเหนือจากการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว"นายเพิ่มพลกล่าว
**ต่างชาติชะลอลงทุนกองอสังหาฯ
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากการที่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.ได้ออกมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ โดยทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยซึ่งอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอการเติบโตนอกจากนี้การพัฒนาตลาดทุน หรือการนำบริษัทใหม่เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์อาจจะไม่เป็นไปตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคาดหวังก็ได้ เพราะขาดแรงจูงใจและปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้น
นอกจากนี้ บริษัทอาจจะมีการชะลอการออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) เนื่องจากต้องรอความชัดเจนของมาตรการกันสำรอง 30% ของ ธปท. ก่อน
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาได้เดินทางเข้าไปหารือกับ ธปท .และสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้พิจารณา และแก้ไขหรือ ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30%ที่ใช้กับกองทุนรวมเหมือนกับการยกเลิกให้กับการลงทุนในตลาดหุ้นแต่ในขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
|
|
|
|
|