LPN ลุยคอนโดฯราคาถูก นำร่องตลาด ภายใต้แบรนด์ ลุมพินี คอนโดทาวน์ ตั้งเป้าอนาคตผุดโครงการขนาดยักษ์นับหมื่นยูนิต ชูจุดขายผ่อนค่างวดเท่ากับค่าเช่าบ้าน เล็งเจรจาแบงก์ปล่อยกู้ระยะยาวถึงทายาท ส่วนผลงานปี 49 ยอดขาย 5,000 ล้านบาท ปี 50 เปิด 5 โครงการมูลค่ารวม 8,800 ล้านบาท
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่บริษัทได้ประกาศรุกตลาดคอนโดมิเนียมระดับ C+ หรือระดับราคาประมาณ 6 แสนบาท ภายใต้ชื่อโครงการ "ลุมพินีคอนโดทาวน์" ล่าสุดได้เปิดโครงการลุมพินี คอนโดทาวน์ รามคำแหง 43/1 เป็นโครงการนำร่อง สูง 8 ชั้น จำนวน 14 อาคาร จำนวน 3,500 ยูนิต มูลค่า 2,400 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 6 แสนเศษ
ทั้งนี้ คอนโดมิเนียมระดับราคาดังกล่าว จะเน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นผู้เช่าที่อยู่อาศัย ที่มีรายได้ประมาณ 10,000-15,000 บาท โดยใช้คอนเซ็ปต์ ราคาผ่อนชำระสินเชื่อรายเดือนเท่ากับราคาค่าเช่าบ้าน เพื่อกระตุ้นความต้องการให้ลูกค้าหันมาซื้อบ้านแทนการเช่า โดยเฉลี่ยจะมีอัตราการผ่อนชำระรายเดือนประมาณ 2,500-3,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจากับสถาบันการเงิน เพื่อออกสินเชื่อพิเศษ อาทิ ระยะการผ่อนชำระนานกว่าปกติ เพื่อผ่อนชำระรายเดือนน้อยลง หรืออาจยาวไปถึงลูกหลาน
"เราต้องการสร้างความแตกต่างให้กับตลาดคอนโดฯซึ่งอาจจะได้เห็น LPN ทำคอนโดฯระดับนี้จำนวนยูนิตมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในอนาคตอาจสูงถึงโครงการละ 5,000-10,000 ยูนิต ในทำเลชุมชน เพราะหากมีการบริหารจัดการที่ดีโครงการก็จะสามารถอยู่รอดไปได้" นายโอภาสกล่าว
ส่วนผลประกอบการปี 2549 บริษัทฯ มียอดขายได้ทั้งสิ้น 3,667 ยูนิต มูลค่ารวม 6,700 ล้านบาท และมีรายได้รวม 5,000 ล้านบาท สูงกว่าปี 2548 ซึ่งมีรายได้รวม 3,600 ล้านบาท 40% โดยรายได้รวมมาจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพักอาศัยใน 4 โครงการ รวมประมาณ 3,152 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 4,700 ล้านบาท และจากจำนวนคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ที่มีการจดทะเบียนในปี 2549 ประมาณ 14,000 ยูนิต ส่งผลให้ LPN มีส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจคอนโดมิเนียม 31% ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในปัจจุบัน รองลงมาเป็นบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มีส่วนแบ่งตลาด 18% หรือประมาณ 2,000 ยูนิต
โดยในปี 2549 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัยทั้งสิ้น จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,200 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการที่พัฒนาบนทำเลใหม่ 2 โครงการ คือ ลุมพินี เพลส รัชดา-ท่าพระ และ ลุมพินี วิลล์ รามคำแหง 44 และโครงการที่พัฒนาต่อเนื่อง จำนวน 2 โครงการ คือ ลุมพินี เพลส พหล-สะพานควาย ลุมพินี เพลส ปิ่นเกล้า 2
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2550 นั้น เปิด 5 โครงการ จำนวน 3,100 ยูนิต มูลค่ารวม 8,800 ล้านบาท ซึ่งได้แก่ ลุมพินี คอนโดทาวน์ รามคำแหง 43/1 เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และจะทยอยเปิดตัวโครงการในทำเลใหม่อีก 1 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 1,200 ล้านบาท และเปิดตัวอีก 3 โครงการในรูปแบบโครงการต่อเนื่องจากโครงการเดิม มูลค่ารวมประมาณ 5,200 ล้านบาท ส่วนงบประมาณซื้อที่ดินปีนี้ตั้งไว้ที่ 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับแผนการลงทุนในปีนี้และปีหน้า
ตั้งเป้ารับรู้รายได้กว่า 6,300 ล้านบาท จากยอดขายของ 3 โครงการที่การก่อสร้างจะเสร็จสมบูรณ์ คือ ลุมพินี เพลส นราธิวาส-เจ้าพระยา, ลุมพินี เพลส พหล-สะพานควาย และ ลุมพินี เพลส รัชดา-ท่าพระ
" ถึงแม้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวมจะดูซบเซาจากผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางที่แวดล้อมด้วยระบบคมนาคมขนาดใหญ่ ถือว่ายังเป็นตลาดที่มีความต้องการอย่างต่อเนื่อง และมีทิศทางการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น" นายโอภาส กล่าว
โดยภาพรวมของตลาดปีนี้จากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง เหตุการณ์ระเบิด อาจส่งผลต่อตลาดโดยรวมทำให้ความเชื่อมั่นของผู้ซื้อลดลง รวมไปถึงผู้ประกอบการอาจชะลอเปิดโครงการจากเดิมที่คาดว่าในปีนี้จะมีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่มากถึง 50,000 ยูนิต จากในปีที่แล้วที่มีการเปิดตัว 30,000 ยูนิต อย่างไรก็ตาม จากที่ปีที่ผ่านมาบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่น้อยกว่าทุกปี ทำให้ปีนี้บริษัทจะมีส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือเพียง 17%
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญต่อการการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Corporate Environment and Social Responsibility-CESR) ด้วยกิจกรรมต่างๆ ภายใต้โครงการ "ชุมชนน่าอยู่" เฉกเช่นในปีที่ผ่านมา โดยพนักงาน LPN จะเป็นแรงสำคัญในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อตอกย้ำและปลูกจิตสำนึกในการร่วมรับผิดชอบและดูแลสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคมรอบตัว เคียงคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีร่วมกันกับชุมชนใน 40 โครงการที่ LPN พัฒนาขึ้น ภายใต้แนวคิดของการเกื้อกูลซึ่งกันและกันระหว่างสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคม
|