|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บอร์ดสั่งทีโอทียื่นร้องศาลปกครองให้ยกเลิกประกาศ กทช.เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการเชื่อมต่อระหว่างโครงข่ายโทรคมนาคม หลังประกาศกทช.ทำให้ทีโอทีเสียหายกว่าหมื่นล้านบาท ด้าน “สมชัย แนวพานิช” กรรมการบริหารสหภาพฯ แจงเหตุต้องเคลื่อนไหวกับคนนอกเพราะสหภาพฯแตกเป็นก๊กเป็นเหล่า จนละเลยการปกป้องผลประโยชน์องค์กร
แหล่งข่าวจากบริษัท ทีโอที กล่าวว่าบอร์ดทีโอทีมีมติเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2549ให้ฝ่ายบริหารทีโอทีรับไปดำเนินการในการร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ยกเลิกประกาศของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการเชื่อมต่อระหว่างโครงข่ายโทรคมนาคม ข้อ 126 โดยให้พ.อ.พิเชษฐ คงศรี และนายชินวัฒน์ ทองภักดี กรรมการฝ่ายกฎหมายและสัญญาร่วมกับนายปริญญา วิเศษศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักกฎหมาย ทีโอที ร่วมกันดำเนินการและดูแลสำนวนในการร้องต่อศาลปกครอง
ทั้งนี้บอร์ดเห็นว่า 1.อำนาจในการออกประกาศของกทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการเชื่อมต่อระหว่างโครงข่ายโทรคมนาคม มีกฎหมายรองรับถูกต้อง ทั้งนี้กรณีการเชื่อมโยงโครงข่าย (Access Charge) และการเชื่อมต่อโครงข่าย (Interconnection Charge) นั้น กทช.ไม่เคยยืนยันว่าเป็นกรณีเดียวกัน และในกรณีที่ฝ่ายบริหารทีโอที ได้ถามไปยังกทช.ว่าผู้ร่วมการงานหรือบริษัทเอกชนมีสิทธิเชื่อมต่อกันเองโดยตรงหรือไม่นั้น ฝ่ายบริหารทีโอทีก็ไม่ได้รับคำตอบจากกทช.แต่อย่างใด 2.จากการพิจารณาของฝ่ายบริหารทีโอที โดยสำนักกฎหมายเห็นว่าคุณสมบัติของเอกชน ไม่เป็นไปตามประกาศของกทช. จึงไม่สามารถเชื่อมต่อกันเองได้ ซึ่งหากพบว่าบริษัทเอกชนมีการเชื่อมต่อกันเองโดยตรง ฝ่ายบริหารทีโอทีจะแจ้งให้กทช.ทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
3.ทีโอทีควรร้องต่อศาลปกครองเพื่อยกเลิกประกาศกทช.เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการเชื่อมต่อระหว่างโครงข่ายข้อ 126 โดยใช้แนวทางการพิจารณาคดีทางปกครองกรณีคำสั่งปกครองใดก่อให้เกิดภาระเกินควรเนื่องจากประกาศ กทช.ดังกล่าวทำให้ทีโอที สูญเสียรายได้มากกว่า 1 หมื่นล้านบาทก็น่าจะถือได้ว่าเป็นภาระเกินควร และเมื่อพิจารณาวัตถุประสงค์ของแผนแม่บทโทรคมนาคม ที่ให้มีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม กทช.ก็ไม่ควรกำหนดกฏเกณฑ์หรือออกประกาศ ที่จะมีผลจะทำให้ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมรายหนึ่งรายใดไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ซึ่งย่อมขัดต่อการส่งเสริมการแข่งขันเสรี และถือเป็นการขัดต่อแผนแม่บทโทรคมนาคมดังกล่าว จึงน่าจะเป็นเหตุผลของทีโอทีในการร้องขอความคุ้มครองชั่วคราวกับศาลปกครองได้ และ4.ในการยื่นเรื่องต่อศาลปกครองควรเร่งดำเนินการ เพื่อมิให้ขาดอายุความในการยื่นคำร้อง ทั้งนี้หากบริษัท กสท โทรคมนาคม เข้าร่วมดำเนินการกับทีโอทีด้วย ก็จะทำให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
“บอร์ดมีมติให้ทีโอที ร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ เนื่องจากเป็นประเด็นข้อกฎหมายที่มีความละเอียดอ่อน และเร่งด่วนเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับทีโอที”
ด้านนายสมชัย แนวพานิช กรรมการกลางสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ทีโอที กล่าวว่าเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมาได้ยื่นอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุดร่วมกับนายศาสตรา โตอ่อน กับนางสาว รสนา โตสิตระกูลเพื่อขอให้ศาลปกครองสูงสุด พิจารณาคำอุทธรณ์และมีคำสั่งให้ศาลปกครองกลางรับคำฟ้อง และมีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวตามที่ได้มีการไต่สวนฉุกเฉินตามคำขอของผู้ฟ้องคดี
ทั้งนี้ประเด็นที่ผู้ฟ้องขอให้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี มี 2 ประเด็น คือ หนึ่ง ประกาศ กทช.ว่าด้วยการใช้และเชื่อมโยงโครงข่ายโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 เป็นประกาศที่เกี่ยวข้องแต่เฉพาะกับ “ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม” ตามเหตุผลของศาลปกครองกลางหรือเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องถึง “นิติบุคคลเอกชนผู้รับอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญา สามารถใช้และเชื่อมต่อโครงข่าย” ตามเนื้อหาในข้อ 126 ของประกาศฯ
สอง ในคำฟ้องของผู้ฟ้องคดี “ผู้ฟ้องคดีทั้งสามไม่ได้มีการกล่าวอ้างว่าตนได้รับความเดือดร้อนเสียหายอย่างไร” ตามเหตุผลของศาลปกครองกลาง หรือ “ผู้ฟ้องคดีทั้งสามได้มีการกล่าวอ้างว่าตนได้รับความเดือดร้อนเสียหายอย่างไร”
สำหรับคำอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม มีประเด็นโต้แย้งคำสั่งศาลปกครองกลาง ดังนี้ 1.การที่ศาลปกครองกลางให้เหตุผลว่า ประกาศฯเป็นการกำหนดสิทธิและหน้าที่ในการใช้และเชื่อมโยงโครงข่ายโทรคมนาคมระหว่างผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมด้วยกันเอง เมื่อผู้ฟ้องคดีไม่ได้เป็นผู้รับใบอนุญาตจึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากประกาศฯ นั้น เป็นการวินิจฉัยผิดประเด็น เนื่องจาก ประกาศดังกล่าวไม่ได้เป็นเรื่องการกำหนดสิทธิและหน้าที่เฉพาะผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมด้วยกันเองเท่านั้น แต่ใน ข้อ 126 ของประกาศฯดังกล่าว ตามที่บรรยายมาในฟ้องกลับกำหนดให้นิติบุคคลเอกชนผู้รับอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญา สามารถใช้และเชื่อมต่อโครงข่ายได้ ดังนั้นเหตุผลในคำสั่งจึงมีความคลาดเคลื่อนไปจากเนื้อหาของประกาศ จนนำไปสู่ความผิดพลาดในการวินิจฉัยว่าผู้ฟ้องคดีมิใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากประกาศฯดังกล่าว
2.การที่ศาลปกครองกลางให้เหตุผลว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสามไม่ได้อ้างว่าตนได้รับความเสียหายจากประกาศดังกล่าวอย่างไร เพียงแต่อ้างว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์และวิทยุคมนาคมซึ่งเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติ เป็นการวินิจฉัยที่มีความขัดแย้งอยู่ในตัว โดยศาลปกครองกล่าวในตอนต้นว่า “ผู้ฟ้องคดีทั้งสามไม่ได้อ้างว่าตนได้รับความเสียหายจากประกาศดังกล่าวอย่างไร” แต่ต่อมากลับบรรยายว่า “เพียงแต่อ้างว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคลื่นความถี่ฯ” เหตุทั้งสองประการมีความขัดแย้งกันอยู่ในตัวว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสามได้อ้างว่าตนได้รับความเสียหายหรือไม่
ในกรณีนี้ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า ได้บรรยายฟ้องโดยละเอียดแล้วว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหายในฐานะประชาชนอย่างไร ดังที่ได้บรรยายในคำฟ้องข้อ 1 ทั้งเหตุผลในฐานะ ประชาชนชาวไทยผู้เป็นเจ้าของโครงข่ายโทรคมนาคมของชาติ และ ประชาชนชาวไทยผู้ใช้บริการสาธารณะของชาติ
นายสมชัยกล่าวว่าการที่ต้องออกมาเคลื่อนไหว ยื่นฟ้องกทช.กับศาลปกครองร่วมกับนางรสนาและนายศาสตรา เป็นเพราะ สหภาพฯทีโอที ไม่มีแนวทางดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างชัดเจน ทั้งๆที่หากมีการใช้อินเตอร์คอนเน็กชั่นชาร์จแล้ว เอกชนจะเลิกจ่ายแอ็คเซ็สชาร์จให้ทีโอที ซึ่งจะทำให้ทีโอทีเสียรายได้กว่าหมื่นล้านบาท แต่สหภาพฯกลับไม่ได้มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด รวมทั้งสหภาพฯทีโอทีเกิดการแตกแยก ขาดความเป็นเอกภาพ ในการเคลื่อนไหวปกป้องรักษาผลประโยชน์ขององค์กร
“ผมยังเป็นกรรมการบริหารสหภาพฯ อยู่ แต่ต้องออกมาเคลื่อนไหวกับบุคคลภายนอก เพราะทนไม่ไหวกับสหภาพฯ ที่แตกเป็นก๊กเป็นพวก และเลือกเคลื่อนไหวบางเรื่องที่มีเป้าหมายซ่อนเร้น ซึ่งมีบางเรื่องจะถูกเปิดเผยเร็วๆนี้”
|
|
|
|
|