Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน4 มกราคม 2550
บึ้มกลางกรุงฉุดดัชนีรูด20จุด             
 


   
search resources

Stock Exchange




ดัชนีหุ้นไทยวันแรกรับปีหมูไฟรูดต่อ 20 จุด รับเหตุการณ์ระเบิดทั่วกรุง ต่างชาติยังขายไม่หยุด บิ๊ก "เจพี มอร์แกนฯ" เชื่อตลอดไตรมาส 1 ต่างชาติยังชะลอการลงทุน ด้านตลาดหลักรัพย์ฯ เร่งเดินหน้าชี้แจงข้อมูล เตรียมเรียกโบรกเกอร์ต่างประเทศร่วมหารือ ระบุประเด็นที่โดนถามต่อเนื่องยังเป็นเรื่องมาตรการของแบงก์ชาติ พร้อมเตือนนักลงทุนอย่าตระหนกจนเกินไป ชี้เป็นโอกาสที่ดีจะเข้าซื้อหุ้นที่จ่ายปันผลดี ขณะที่โบรกฯเชื่อมีโอกาสที่ดัชนีจะร่วงต่อ ชี้ปัจจัยในประเทศยังกดดันตลาดหุ้นไทยต่อไป

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยเริ่มต้นศักราชใหม่ตอนรับปีกุน ที่หลายคนในแวดวงตลาดทุนเรียกว่า "หมูไฟ" ด้วยความปั่นป่วนอีกรอบหลังเหตุการณ์ลอบวางระเบิดทั่วกรุงเทพมหานคร ส่งผลทั้งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และบั่นทอนความมั่นใจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต่อมาตรการรักษาความปลอดภัย

ก่อนหน้านี้ ปัจจัยที่ถือได้ว่าส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ มาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วยการกันเงินสำรองเงินทุนที่จะเข้าประเทศ 30% จะเริ่มคลี่คลายบางแล้วหลังธปท.ประกาศผ่อนคลายกฎการนำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดทุน รวมถึงเงินที่จะเข้ามาลงทุนทางตรงไม่ต้องมีการกันสำรอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นถือได้ว่าเป็นการซ้ำเติมตลาดหุ้นไทยที่ยังคงอยู่ในอาการที่เรียกได้ว่า "ป่วยหนัก"

ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้นักวิเคราะห์หลายค่ายต่างปรับคำแนะนำจากเดิมที่แนะนำให้ชะลอการลงทุนในช่วงสั้นๆ เป็นการหยุดลงทุนในระยะนี้เพื่อประเมินสถานการณ์ รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้อีกครั้ง โดยในแง่ของความน่าสนใจลงทุนจากราคาหุ้นบริษัทต่างๆ ที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมากจะถือว่าเป็นแรงจูงใจแต่เมื่อเทียบกับความเสี่ยงจากปัจจัยที่คาดการณ์ไม่ได้ทั้งในเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ รวมถึงมาตรการต่างๆของหน่วยงานภาครัฐทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติเปลี่ยนไป ซึ่งจะเห็นได้จากสัญญาณการขายสุทธิอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาของนักลงทุนต่างชาติ

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นในวันแรกของปี 50 (3 ม.ค.) ดัชนีเปิดปรับตัวลดลงกว่า 20 จุด ก่อนจะปรับตัวลดลงมาต่ำสุดที่ 653.14 จุด ลดลง 26.70 จุด หรือ 3.92% ขณะที่จุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 677.55 จุด โดยแรงขายส่วนใหญ่มาจากหุ้นขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ ส่งผลทำให้ดัชนีปิดที่ 659.25 จุด ลดลง 20.59 จุด หรือ 3.03% มูลค่าการซื้อขาย 15,460.06 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 246.82 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 466.59 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 713.41 ล้านบาท

นายอาจดนัย สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ เชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศยังคงชะลอการลงทุนที่จะเข้ามาในประเทศ เนื่องจากช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาประเทศไทยต่อเผชิญกับปัจจัยลบหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นการปฎิรูปการปกครอง มาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินของธปท. หรือการวางระเบิดทั่วกรุงเทพฯ

จากสิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติไม่มีความเชื่อมั่นต่อการเข้ามาลงทุในประเทศ โดยประเด็นที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจมากที่สุด คือ นโยบายและมาตรการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตลาดเงินและตลาดทุนเป็นหลัก ดังนั้นหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องการให้เงินทุนไหลกลับเข้ามาอีกครั้งการปรับเปลี่ยนนโยบายของธปท.น่าจะเป็นเรื่องที่จะต้องเร่งดำเนินการ และควรที่จะเร่งทำความเข้าใจต่อสิ่งที่เกิดต่อตลาดทุนขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

"ระเบิดที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาทำลายบรรยากาศในการลงทุน รวมถึงจิตวิทยาในการลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ แต่เรื่องดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงเหมือนมาตรการของแบงก์ชาติ" นายอาจดนัยกล่าว

**ตลาดหุ้นเรียกโบรกฯนอกหารือ

นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้มีการประชุมภายในเพื่อหารือ หลังจากในช่วงเช้ามีแรงเทขายของนักลงทุนออกมาทำให้ดัชนีปรับตัวลดลง โดยคาดว่าจะเป็นแรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ การที่จะให้นักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาลงทุน จำเป็นต้องมีการให้ข้อมูลกับนักลงทุนต่างประเทศเพราะยังมีนักลงทุนบางกลุ่มที่ยังไม่ได้รับทราบข้อมูล ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศและกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่คงต้องอยู่กับการตัดสินใจของนักลงทุนต่างประเทศว่าจะมีความคิดเห็นอย่างไร

สำหรับในปลายสัปดาห์นี้หรือต้นสัปดาห์หน้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการเชิญบริษัทหลักทรัพย์ต่างชาติที่มีการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเข้าร่วมหารือในเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และจะให้เป็นผู้เชิญนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาร่วมงานโรดโชว์ในช่วงปลายไตรมาส 1/2550 หรือต้นไตรมาส 2/2550 ซึ่งรูปแบบการจัดงานจะมีลักษณะคล้ายกับการจัดงานไทยแลนด์โฟกัส

**ภัทรียาเชื่อ8.3หมื่นล.ยังอยู่

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นในวันแรกที่เปิดตลาดซื้อขายหลักทรัพย์นักลงทุนอาจจะยังไม่มั่นใจในการลงทุนจากการลอบวางระเบิดช่วงคืนในวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา จึงมีแรงเทขายออกทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงประมาณ 3% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเห็นได้จากมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องเมื่อมีแรงเทขาย เพราะนักลงทุนมองเห็นถึงผลตอบแทนที่ดีในอนาคต

สำหรับนักลงทุนต่างชาติเชื่อว่าจะยังคงชะลอลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อไป เพื่อประเมินสถานการณ์ภาพรวมและมาตรการป้องกันของภาครัฐ แต่เชื่อว่าแม้นักลงทุนต่างชาติจะชะลอการลงทุนไปบ้างแต่เม็ดเงินลงทุนซื้อสุทธิ 8.3หมื่นล้านบาทช่วงปีก่อนจะยังอยู่ในตลาดหุ้นไทย โดยยอดขายของนักลงทุนต่างประเทศวานนี้จะมียอดการขายสุทธิแต่มียอดซื้อเข้ามาสูงถึง 6 พันล้านบาท

"อยากเตือนนักลงทุนไม่ควรกังวลจนเกินไป เพราะอาจทำให้เสียโอกาสในการลงทุน ซึ่งนักลงทุนควรที่จะมีการตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ หากเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่พื้นฐานดีและมีปันผลก็จะได้ประโยชน์จากการลงทุน"นางภัทรียากล่าว

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมจัดงานนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนต่างประเทศ (โรดโชว์)ในปลายไตรมาส1/2550 เพื่อให้มีความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง นโยบายทางการเงิน และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและมีความมั่นใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ประเด็นที่นักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจสอบถามมากที่สุดในเรื่องมาตรการกันเงินสำรอง 30%ของนักลงทุนต่างประเทศ

นางภัทรียา กล่าวอีกว่า เชื่อว่าในช่วงต้นปีการลงทุนในตลาดหุ้นชะลอตัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าหากสถานการณ์ไม่ยืดเยื้อเชื่อว่านักลงทุนจะกลับเข้ามาเป็นปกติในไม่ช้า

ทั้งนี้แม้ว่าเรื่องดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายในบางเรื่อง แต่ตลาดหลักทรัพย์จะยังไม่มีการปรับเป้าบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ แต่อาจจะมีการปรับรูปแบบการทำงานในปีหน้าซึ่งจะต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง

**โบรกเกอร์เชื่อดัชนีหุ้นร่วงต่อ

นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยเป็นไปตามที่คาดการณ์ เนื่องจากนักลงทุนตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ระเบิดในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา โดยบริษัทประเมินแนวรับในรอบนี้ที่ 640 จุด และแนวต้านอยู่บริเวณ 670 จุด โดยแนะนำให้นักลงทุนรอและประเมินสถานการณ์ที่จะส่งผลต่อดัชนีอีกครั้ง

"คาดว่านักลงทุนต่างชาติยังเป็นกลุ่มที่ขายต่อเนื่อง เพราะยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ในประเทศ รวมถึงมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท ซึ่งหากราคาหุ้นปรับตัวลดลงก็ถือว่าเป็นแรงดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาให้ความสนใจกับตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยคาดว่าน่าจะมีแรงซื้อเข้ามาในช่วงปลายไตรมาส 1/50"

นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นในวันนี้ คาดว่ายังคงทรงตัวหรืออาจจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องเนื่องจากยังคงไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระตุ้น ประกอบกับนักลงทุนยังรอดูความคืบหน้าเกี่ยวกับการจับบุคคลต้องสงสัยว่าจะเป็นคนวางระเบิดว่าจะมีความชัดเจนเมื่อไหร่

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นในต่างประเทศรวมถึงปัจจัยจากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน หรือค่าเงินไม่ได้มีผลต่อการปรับขึ้นลงของดัชนีมากนัก แต่ปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่จะเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในประเทศมากกว่า โดยกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้แนะนำถือเงินสด โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 650 จุด และแนวต้านให้ไว้ที่ 674 จุด   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us