Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน3 มกราคม 2550
UMSเล็งลงทุนงานโลจิสติกส์ คาดปีนี้ยังเติบโตไม่ต่ำกว่า 30%             
 


   
www resources

โฮมเพจ Unique Mining Services

   
search resources

Logistics & Supply Chain
ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส, บมจ.




UMS คาดปี 50 เติบโตระดับไม่ต่ำกว่า 30% จากปี 49 เผยแผนงานปีหน้ามีโครงการที่จะลงทุนอีก 3 โครงการ มูลค่าลงทุนโครงการละประมาณ 300 ล้านบาท โดยงานแรกเล็งลุยธุรกิจลอจิสติกส์เพื่อความต่อเนื่องและหนุนการทำธุรกิจ เผยรอเพียงจังหวะและโอกาสที่เอื้อต่อการลงทุน ส่วนเงินทุนพร้อม

นายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรรมการบริหาร บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด(มหาชน) (UMS) เปิดเผยว่าปีหน้าบริษัทจะยังคงเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 30% แม้ว่าปีนี้แผนการเปิดท่าเทียบเรือจะผิดจากเป้าหมายไปก็ตาม เพราะติดปัญหากับชาวบ้านในเขตดังกล่าว แต่หลังจากเคลียร์ได้จนเป็นที่เข้าใจดีแล้ว ก็ทำให้บริษัทสามารถดำเนินการได้เริ่มปีหน้าเป็นต้นไปหลังจากล่าช้ามาเกือบครึ่งปี

สำหรับการที่บริษัทได้เปิดท่าเทียบเหรือตามแผนแล้วนั้น จะส่งผลดีต่อต้นทุนค่าใช้จ่ายของบริษัท ซึ่งคาดว่าจะลดลงได้ประมาณ 10% แต่บริษัทก็ยังต้องเน้นลดต้นทุนการดำเนินงานด้วย เพราะปี 50 แนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาลพอจะมองได้ว่าเน้นความพอเพียง อันเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทด้วยเช่นกัน

"แต่เราก็มองโอกาสในการลงทุนของเราด้วยเสมอหากมีโอกาสและเศรษฐกิจเอื้อต่อการลงทุนหรือขยายงาน เพราะเม็ดเงินเพื่อการขขายงานลงทุนเรามีเพียงพอที่จะใช้ได้อยู่แล้ว เพียงแต่เราเน้นระมัดระวังเป็นพิเศษ " นายชัยวัฒน์กล่าว

เนื่องจากปัจจุบันอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E RATIO) ต่ำกว่า 1 เท่า และนโยบายของบริษัทคือตัวเลขนี้ต้องไม่เกิน 2 เท่า นั่นแสดงให้เห็นว่าตัวเลขนี้ของ UMS ยังสามารถก่อหนี้ได้อีกพอสมควร ขณะที่กระแสเงินสดของบริษัทมีอยู่ประมาณ 300-400 ล้านบาท แต่หากต้องการลงทุนเพิ่มก็อาจมีการกู้จากสถาบันการเงินเพิ่มได้ โดยปี 50 UMS มีแผนที่จะขยายงานอีก 3-4 โครงการ โดยแต่ละโครงการจะใช้เงินทุนประมาณ 300-400 ล้านบาท

"เราจะทำในสิ่งที่ต่อเนื่องกับธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ แต่บอกได้ยาก เพราะโอกาสเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าไม่เอื้อเราก็นิ่ง ๆ ตามขั้นตอนของเรา แต่หากมีโอกาสเราก็ลุยทันที เพราะจัวหวะเรารอเสมอ และเราก็มองสร้างท่าเทียบแรือและคลังสินค้าแห่งใหม่ เพื่อเพิ่มสต๊อกสินค้าและอำนวยความสะดวกในการดำเนินงาน ทำให้ต้นทุนเราลดลงด้วย เพราะปัจจุบันเชื้อเพลิงน้ำมันปรับสูงขึ้นจากก่อนหน้า ผู้ประกอบการต่างหันมาใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นก็ดีกับเรา " นายชัยวัฒน์กล่าว

โครงการที่คาดว่าจะเกิดขึ้นน่าจะเป็นธุรกิจของลอจิสติกส์ เนื่องจากการส่งสินค้าจำหน่ายให้กับลูกค้า จำเป็นต้องขนส่ง ซึ่งบริษัทต้องการลดต้นทุนทางการขนส่งด้วย หากมีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจนี้จะเอื้อต่อธุรกิจของตนเองด้วย ดังนั้นเมื่อโอกาสมาถึงUMS ลุยโครงการนี้ก่อนแน่นอน การจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจด้านนี้ จึงไม่ไกลเกินจริงแล้ว เพียงรอโอกาสและจังหวะในการลงทุนเท่านั้น ส่วนอีก 2 โครงการนั้น ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดออกมา บอกแต่เพียงว่าเมื่อโอกาสมาถึง UMS ก็พร้อมลุยงานใหม่เพื่อสร้างเงินเพิ่มทันที

นายชัยวัฒน์กล่าวถึงแผนการขายถ่านหินว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ เพื่อที่จะจำหน่ายสินค้าให้ได้ในราคา SPOT ซึ่งการจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้ารายใหญ่แม้มาร์จิ้นต่ำกว่าคือ 5-7% แต่ก็ได้ปริมาณมากกว่าลูกค้ารายกลางและย่อยที่จำหน่ายปริมาณน้อย แต่มาร์จิ้นสูงกว่า 20 -30 % ซึ่งปัจจุบันลูกค้าของ UMS เพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังเปลี่ยนมาใช้เตาบอยล์เลอร์ใหม่เพื่อมาใช้ถ่านหินแทนน้ำมัน และลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทยังคงเป็นรายกลางและเล็ก แต่ปีหน้า UMS ก็จะหาลูกค้ารายใหญ่เพิ่ม

สำหรับ อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ของปี 50 คาดว่าจะอยู่ใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 10% อันเป็นผลจากความพยายามในการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ขณะที่ UMS คาดว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้น (gross profit margin) ปีหน้าจะลดลงจากปีนี้ที่มี 30% เหลือเพียง 25-30% เนื่องจากบริษัทฯ หันมาเน้นเจาะตลาดกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ซึ่งมีมาร์จิ้นต่ำกว่าลูกค้าระดับกลางและล่าง

สำหรับราคาหุ้นที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานนั้น เพราะนักลงทุนไม่ได้มองที่พี/อี ของ UMS ที่ต่ำเพียง 5-6 เท่า ซึ่งกว่า พี/อี ตลาดซึ่งอยู่ที่ 8-10% เท่า และผลตอบแทนในรูปของการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ และผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งผลการดำเนินงานของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับต้น ๆ ของบริษัทที่เทรดในตลาดหลักทรัพย์ mai บริษัทก็ติดอันดับเสมอมาด้วย หากนักลงทุนพิจารณาและเข้าใจ ราคาหุ้น UMS ที่เทรดในระดับนี้ถือว่าถูกเมื่อเทียบกับอะไรหลายอย่างจากผลงานของบริษัท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us