|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ผู้จัดการกองทุนฟันธง ปีหมูไม่มีโอกาสเห็นปรากฏการณ์ January Effect หลังมาตรการกันเงินสำรองพ่นพิษหนัก นักลงทุนต่างชาติหนีหาย เชื่ออาจจะต้องใช้เวลา 6-12 เดือนในการเรียกความเชื่อมั่นกลับคืน พร้อมประสานเสียงปีนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ คงไม่เกิน 750 จุด ระบุยังมีปัจจัยการเมืองที่ต้องจับตาดูอีกด้วย ส่วนหุ้นกลุ่มผลิตไฟฟ้าเนื้อหอมสุด
นายณสุ จันทร์สม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นในปีนี้ว่า มุมมองของเราเชื่อว่าจะเป็นปีที่เหนื่อยพอสมควรสำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เนื่องจากมาตรการกันเงินสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่ลดสัดส่วนการลงทุนในประเทศลงไป ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่เรากังวลค่อนข้างมาก ดังนั้น จึงมองการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ในช่วงแคบๆ โดยได้ปรับลดเป้าดัชนีทั้งปีลงว่าน่าจะต่ำกว่า 750 จุดจากเดิมที่มองว่าน่าจะปรับขึ้นไปเหนือ 780 จุดได้
อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามดูว่ามาตรการของธปท. จะประกาศใช้ไปอีกนานแค่ไหน ขณะเดียวกันก็ต้องจับตาดูแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วย
"ปีนี้จะเป็นปีที่ค่อนข้างเหนื่อยสำหรับตลาดหุ้นไทย หลังจากธปท.ออกมาตราการมาสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทจนส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการลดสัดส่วนการลงทุนของต่างชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยที่เรากังวล ทำให้เราปรับลดการคาดการณ์ดัชนีทั้งปีลงต่ำกว่า 750 จุด จากเดิมที่คาดว่าน่าจะอยู่ระดับ 780 จุดได้"นายณสุกล่าว
นอกจากนี้ ปรากฏการณ์ January Effect ที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีจากการแบ่งเงินลงทุนนักนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เราไม่คาดหวังและไม่คิดว่าจะได้เห็นในปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนคงจะรอดูท่าทีและความชัดเจนของธปท. ในการใช้มาตรการดังกล่าว และถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะปรับลดลงมาค่อนข้างมากจากผลกระทบของมารตรการของธปท. แต่คงต้องใช้เวลาพอสมควรที่นักลงทุนจะเห็นคุณค่า
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ในเบื้องต้น เชื่อว่าหลังจากธปท.ประกาศใช้มาตรการกันเงินสำรอง 30% ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติหายไปแล้วกว่า 20-30% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความไม่ชัดเจนของนโยบาย ก็เลยตัดสินใจลดสัดส่วนการลงทุนไป โดยหลังจากได้มีโอกาสพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนระยะยาว
พบว่าในจำนวน 10 ราย มีจำนวน 2-3 รายที่ตัดสินใจโยกเงินไปลงทุนประเทศอื่นแทนส่วนจะใช้เวลานานแค่ไหนนักลงทุนต่างชาติถึงจะกลับเข้ามาอีกครั้ง นายณสุกล่าวว่า จากมาตรการที่ออกมานักลงทุนส่วนหนึ่งมองว่าเป็นความเสี่ยงของประเทศที่เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากเหตุการณ์ปฏิวัติการปกครองในช่วง 3 เดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งถือว่าส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม หากมีการยกเลิกมาตรการดังกล่าวไปแล้ว ก็เชื่อว่าอาจจะใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือน นักลงทุนต่างชาติจึงจะเชื่อมั่นและกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง เพราะนอกจากความชัดเจนของมาตรการดังกล่าวแล้ว เขายังต้องดูความชัดเจนในเรื่องของการเมืองภายในประเทศที่จะมีการเลือกตั้งในปีนี้ด้วย
สำหรับการลงทุนของกองทุนรวม ในช่วงที่ผ่านมาเงินลงทุนเข้ามาค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่ส่วนหนึ่งก็เริ่มกังวลกับการลงทุนระยะยาวบ้าง ซึ่งในส่วนของผู้จัดการกองทุนเองก็คงต้องเหนื่อยและทำการบ้านมากขึ้น เพื่อทำให้ผลตอบแทนของกองทุนสามารถเอาชนะดัชนีตลาดได้ โดยหุ้นกลุ่มที่เราสนใจในปีนี้ คือ กลุ่มผลิตไฟฟ้า อาหาร และกลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจากมองว่าหุ้นกลุ่มนี้น่าจะมีการเติบโตสูงและมีการจ่ายปันผลที่ดีด้วย ในส่วนของลูกค้าเอง ก่อนจะลงทุนก็ต้องคิดมากขึ้น ซึ่งในปีนี้เชื่อว่านักลงทุนจะให้ความสนใจกับกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงมากขึ้น
นายสุวิทย์ ฉันทไกรวัฒน์ ผู้จัดการกองทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้คงจะซึมๆ ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา อาจจะปรับตัวขึ้นได้บ้างแต่ก็คงไม่มากนัก ซึ่งผลจากมาตรการคุมค่าเงินของธปท. ก็เชื่อว่าดัชนีทั้งปีจะขยับขึ้นสูงสุดได้ไม่เกิน 750 จุด ในขณะที่มูลค่าการซื้อขายเองก็คงไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติคงยังไม่จัดสรรเงินเข้ามาลงทุนในไทยในไตรมาสแรกหรือไตรมาสที่สอง โดยอาจจะเป็นครึ่งปีหลังด้วยซ้ำ ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์ January Effect ที่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี ก็คงไม่ได้เห็นในปีนี้ด้วย เนื่องจากตัวแปรสำคัญจะเป็นนักลงทุนต่างชาติเป็นหลัก
ทั้งนี้ สังเกตได้จากการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีที่แล้ว นักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายอย่างต่อเนื่องโดยมีสถาบันเข้ามาซื้ออย่างต่อเนื่องจากเงินลงทุนใหม่ที่เข้ามาผ่านกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่านักลงทุนต่างชาติยังไม่มีความมั่นใจ เพราะสิ้นปีก็ยังขายอยู่จากปกติที่จะพักการลงทุนในช่วงปลายปี
ส่วนจะมีการลงทุนกลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อไหร่นั้น นายสุวิทย์กล่าวว่า อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะประมาณ 12 เดือนหลังจากนี้ จึงมีสามารถสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนเหล่านี้ได้อีกครั้ง ซึ่งการกลับเข้ามาลงทุนก็จะเป็นลักษณะของการทยอยเข้ามามากกว่าสำหรับนักลงทุนบางกลุ่มที่มั่นใจแล้ว ขณะเดียวกัน การที่ราคาหุ้นค่อนข้างถูกอาจจะเป็นแรงจูงใจและเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนระยะยาว
สำหรับการลงทุนของกองทุนรวม ก็ต้องหากลยุทธ์ที่จะเอาชนะดัชนีให้ได้ ซึ่งเราเองก็ยังคงเน้นการลงทุนเต็ม 100% โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจในปีนี้ เรามองว่าน่าจะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้า
|
|
|
|
|