|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ต่างชาติยังไม่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยฉุดความน่าสนใจหุ้นกลุ่มพลังงาน โบรกฯฟันธงปี 50 ไม่ใช้ปีที่สดใสของหุ้นขนาดใหญ่ คาดผลการดำเนินงานลดลงเหตุราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ขณะที่ยังมีความไม่ชัดเจนหลายเรื่อง โดยเฉพาะกรณีการแปรรูปของ ปตท. ที่ยังต้องรอความตัดสินของศาล
สถานการณ์หุ้นขนาดใหญ่ของตลาดหุ้นไทยในช่วงปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะได้รับผลดีจากการเข้ามาซื้ออย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ สื่อสาร วัสดุก่อสร้าง และกลุ่มที่ได้ถือว่านักลงทุนต่างชาติมีบทบาทต่อราคาหุ้นค่อนข้างมาก คือ กลุ่มพลังงาน ผลดีจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะเริ่มเข้าสู่ภาวะการที่ทรงตัว ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานหลายบริษัทต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ปตท.ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เป็นต้น
ทั้งนี้ ด้วยความที่หุ้นในกลุ่มพลังงานมีบทบาทต่อการปรับขึ้นลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยค่อนข้างมาก ความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่างชาติต่อมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ประกาศช่วงคืนวันที่ 18 ธ.ค. 49 เกี่ยวกับการสกัดกั้นการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท ด้วยการกันเงินสำรองไว้ 30% ส่งผลต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ถือว่ารุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทยกว่า 31 ปีที่ผ่านมาโดยในวันดังกล่าวดัชนีอุตสาหกรรมหมวดพลังงานปิดที่ 12,349.15 จุด โดยปรับตัวลดลง 15.89%
อย่างไรก็ตาม มุมมองของนักวิเคราะห์หลายค่ายเกี่ยวกับความน่าสนใจของหุ้นในกลุ่มพลังงานเปลี่ยนแปลงไปจากมุมมองช่วงก่อนเกิดมาตรการธปท.ในวันที่ 19 ธ.ค.
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่า ความน่าสนใจของหุ้นในกลุ่มพลังงานในปี 50 ลดลงจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มปรับเปลี่ยนการลงทุนจากเดิมที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเป็นการเลือกลงทุนในกองทุนพันธบัตร หรือกองทุนตราสารหนี้เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้น
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่าราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานอาจจะปรับตัวลดลงไดอีกเนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศ โดยเฉพาะประเด็นทางการเมืองที่ยังไม่นิ่งส่งผลต่อจิตวิทยาในการลงทุนอย่างแน่นอน รวมถึงความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับกรณีการแปรรูปของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ว่าศาลจะตัดสินในเรื่องดังกล่าวออกมาอย่างไร ซึ่งเรื่องดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในอนาคต โดยบริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานของบมจ.ปตท.ในปีนี้น่าจะมีอัตราการเติบโตที่ลดลง
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าบริษัทประเมินว่าหุ้นพลังงานหลานบริษัทจะปรับตัวลอลงเนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันในปี 2550 จะปรับตัวลดลงโดยสังเกตจากราคาที่เคลื่อนไหวในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา โดยหุ้นที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดในกลุ่ม คือ PTTEP, TOP, และ RRC
ทั้งนี้ การประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเรื่องการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลงวันละ 5 แสนบาร์เรลอาจจะส่งผลทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงสั้นๆเท่านั้น เนื่องจากยังมีอีกหลายประเทศที่เป็นผู้ส่งออกน้ำมันและไม่ได้มีการประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันลง โดยคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันในปีหน้าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 55-56 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือลดลงประมาณ 10% จากราคาที่เคลื่อนไหวในปัจจุบัน
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่มพลังงานในปีนี้จะเติบโตไม่เกิน 1% จากปี 2549 ที่ผ่านมาซึ่งเติบโตประมาณ 9% เนื่องจากรายได้ของบริษัทปรับตัวลดลงค่อนข้างมากจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง โดยบริษัทยังแนะให้ชะลอการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่หุ้น PTT บริษัทแนะนำถือโดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 300 บาท
|
|
 |
|
|