Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน3 มกราคม 2550
ตลาดหุ้นปีกุนไม่"หมู" เจอเกณฑ์ธปท.ป่วน-โบรกฯแห่ลดเป้าดัชนี             
 


   
search resources

ก้องเกียรติ โอภาสวงการ
ภัทรียา เบญจพลชัย
Stock Exchange




ตลาดหุ้นไทยปีกุนไม่ "หมู" เหมือนชื่อ หลังเจอมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของแบงก์ชาติ บรรดาโบรกเกอร์ทั้งรายเล็ก-รายใหญ่ แห่ปรับลดเป้าดัชนี เฉลี่ยแล้วลดลงกว่า 50 จุด อยู่ระหว่าง 740-795 จุด ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ วางแผนโรดโชว์ดึงนักลงทุนต่างชาติกลับ ขณะที่นักวิเคราะห์ สวดยับสูญเสียโอกาสทำให้ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ แนะให้ลงทุนหุ้นกลุ่มที่จ่ายเงินปันผลสูง "แบงก์-โรงแรม-โรงพยาบาล"

19 ธันวาคม 49 นับเป็นเหตุการณ์ช็อกวงการตลาดหุ้นไทย เมื่อดัชนีตลาดหุ้นทรุดตัวลงมาหนักถึง 108 จุดภายในวันเดียว หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทระยะสั้น โดยสั่งให้สำรองเงินทุนของนักลงทุนต่างประเทศในสัดส่วน 30% ส่งผลทำให้นักลงทุนต่างประเทศกระหน่ำเทขายหุ้น 2.5 หมื่นล้านบาท ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของตลาดหุ้นไทยในช่วงระยะเวลา 31 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางคนเปรียบเทียบกับสึนามิตลาดทุน ที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ทำให้มาร์เกตแคปของตลาดทุนไทยหายวูบถึง 8 แสนล้านบาท แม้จะมีการผ่อนคลายมาตรการ โดยยกเว้นเงินลงทุนในตลาดหุ้น แต่ยังไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากยังมีการเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปีหน้า

เดิมบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ค่ายต่างๆ ได้ทำนายทิศทางหุ้นต่างในปี 50 ว่าจะสดใสดัชนีมีโอกาสขึ้นไปแตะ 800 จุดได้สบายๆ หลังจากปัจจัยที่เคยกดดันดัชนีตลาดหุ้นปีนี้ได้คลี่คลายและมีความชัดเจนมากขึ้นกลับมาเป็นปัจจัยบวกกระตุ้นการลงทุนไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมันที่ทรงตัว และดอกเบี้ยที่มีสัญญาณปรับตัวลดลง รวมถึงปัจจัยการเมืองที่ยืดเยื้อมานาน ซึ่งเป็นแรงหนุนให้การเติบโตภาคเศรษฐกิจไทยในปีหน้าโตในระดับที่ดีจึงส่งผลดีต่อภาคตลาดทุนด้วย

แต่พอเกิดเหตการณ์อังคารทมิฬ ทำให้โบรกเกอร์หลายค่ายได้เตรียมการที่จะมีการปรับประมาณการดัชนีปีหน้าลดลง โดยต้องลุ้นว่าต่างชาติใช้เวลานานแค่ไหนจะคลายความกังวลและกลับมามีความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกรอบ

โดยโจทย์ที่สำคัญในปีหน้าที่ทุกหน่วยงานภาคตลาดทุนที่จะต้องมีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือการทำความเข้าใจ ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเชื่อว่าในช่วงต้นปีภาวะตลาดหุ้นจะซึมๆ ซึ่งต้องลุ้นกันว่านักลงทุนต่างชาติจะใช้เวลาในนานเท่าไรที่จะมีความเชื่อมั่นกลับเข้ามาลงทุน และต้องคอยจับมารัฐฯภาคตลาดทุนจะมีมาตรการอะไรออกมาที่กระตุ้นการลงทุนต่างชาติหรือไม่

**ตลาดหุ้นเร่งฟื้นความเชื่อมั่น

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้นในปี 2550 ได้ เพราะต้องรอดูในเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่จะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากมาตรการของธปท.มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการตัดสินที่เข้ามาลงทุน โดยคาดว่านักลงทุนต่างชาติจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนในการสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งในปีหน้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ต่อนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเพื่อเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุน

ทั้งนี้ จากการที่ปัจจัยพื้นฐานของประเทศไม่มีการเปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจมีการเติบโตดีประมาณ 4.5-5% ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีการเติบโตดี รวมถึงการที่ตลาดหุ้นไทยมีราคาถูก ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูง และการที่รัฐบาลมีการเดินหน้าลงทุนขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาลงทุน จึงทำให้ภาพรวมภาวะตลาดหุ้นปีหน้ายังคงดีอยู่ แต่ในช่วงแรกอาจจะต้องให้ระยะเวลาในการตัดสินใจ

"ปีหน้าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีศักยภาพดีอยู่ แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะมีการจัดโรดโชว์สัมมนาต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุน" นางภัทรียา กล่าว

สำหรับภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 2549 ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี แม้จะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบไม่ว่าจะเป็นการเมือง ราคาน้ำมัน ดอกเบี้ย และจากผลกระทบของการออกมาตการธปท. มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2548 มาร์เกตแคปอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านล้านบาท

ส่วนเป้าหมายบริษัทใหม่ที่เข้ามาจดทะเบียนที่พลาดเป้านั้น เกิดจากบริษัทหลายแห่งได้ชะลอแผนจดทะเบียนออกไป ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องหารือว่าจะมีการดำเนินการอย่างไร แต่ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่มีการปรับเป้าบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 40 บริษัท และตลาดเอ็มเอไอ 24 บริษัท

สำหรับความท้าทายในปีหน้าของตลาดทุนประกอบด้วย เรื่องการพิจารณาในเรื่องพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (พรบ.ต่างด้าว) ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะพิจารณาให้มีความชัดเจนมากขึ้น ว่าธุรกิจเป็นธุรกิจต้องห้ามจำกัดการถือหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ รวมถึงการเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียน

**ปีหมู ... แต่ไม่หมู

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า ตลาดหุ้นปีหน้าคาดว่าจะไม่สดใสนัก จากความชัดเจนเรื่องมาตรการของธปท. ในการคุมเม็ดเงินไหลเข้าของนักลงทุนต่างประเทศ ความชัดเจนเรื่องกฎหมายนอมินี การแก้ไขพรบ.ต่างด้าว รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมถึงรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ

ทั้งนี้ จากมาตรการธปท.นั้นยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความไม่มั่นใจแก่นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็ต้องจับตาดูอย่างไรใกล้ชิดว่าจะมีการดำเนินการเปลี่ยนแปลงอย่างไร แต่เชื่อว่าภาครัฐฯจะมีการดำเนินการอย่างรอบคอบ

"แม้ตลาดหุ้นปีหน้าจะไม่สดใสมากนัก แต่ยังมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี หากเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐาน อัตราการเติบโตที่ดี ส่วนนักลงทุนที่ชอบลงทุนในหุ้นเก็งกำไรควรเก็งกำไรในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับบ้าง ไม่ใช่แต่เก็งกำไรในเรื่องราคาหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวหวือหวา " นายก้องเกียรติ กล่าว

**ผลสำรวจนักวิเคราะห์เล็งลดเป้าดัชนี

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ คงจะมีการปรับเป้าดัชนีปีหน้าลดลง หากมีการสำรวจความคิดเห็นใหม่ จากเดิมที่มีการคาดไว้ที่ 800 จุด เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศไม่มั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนจากมาตรการของ ธปท. ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยส่วนตัวมองว่าดัชนีตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีแรกจะเคลื่อนไหวไม่มากนัก จากไม่มีแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ และต้องระมัดระวังการขายหุ้นของนักลงทุนจะมีออกมาอย่างต่อเนื่องหรือไม่

ทั้งนี้ แม้แบงก์ชาติจะมีการยกเว้นไม่ต้องมีการตั้งสำรองในการลงทุนในตลาดหุ้น แต่มาตรการดังกล่าวมีผลทำให้ค่าเงินอ่อนลง ถึงแม้ต่างชาติจะไม่ตั้งใจในเรื่องเก็งกำไรค่าเงิน แต่ก็ไม่อยากที่จะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และปัจจัยที่เดิมมองว่าอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวลดลงนั้นในช่วงไตรมาสแรก แต่การที่มีมาตรการคุมค่าเงินนั้นมีผลทำให้ดอกเบี้ยพันธบัตรปรับตัวเพิ่มขึ้น

"ต่างชาติยังไม่มั่นใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น แต่ถือเป็นโอกาสนักลงทุนไทยที่จะเลือกลงทุนในหุ้นที่ดี ราคาถูก เช่น หุ้นในกลุ่ม พลังงาน แบงก์ วัสดุก่อสร้าง ฯลฯ"นายสมบัติ กล่าว

อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ในช่วงครึ่งปีหลังดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หากมีความชัดเจนในเรื่อง มาตรการของธปท.ว่าจะคลี่คลายอย่างไร หรืออาจจะมีการเลิกใช้ การเมืองมีความชัดเจนในเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งใหม่ ก็จะส่งดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ประกอบกับที่ราคาหุ้นไทยถูกก็จะเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อขาย

**โบรกเกอร์แห่ลดเป้าดัชนี

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล. เกียรตินาคิน กล่าวว่า บริษัทเตรียมที่จะมีการปรับเป้าดัชนีปีหน้าลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 780-830 จุด จากปัจจัยในเรื่องความไม่เชื่อมันในการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ และในต้นปีหน้าคาดว่าจะมีการพิจารณาในเรื่องของพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น 1-3 เดือนนี้

ทั้งนี้จากการอัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงนั้นก็จะเป็นปัจจัยที่หนุนให้กำไรของบริษัทมีการปรับตัวดีขึ้น จะสร้างความน่าสนใจให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาเข้าลงทุน ประกอบกับตลาดหุ้นไทยยังมีราคาถูกในภูมิภาค แต่ต้อติดตามว่าต่างชาติจะกลับมามีความเชื่อมั่นเมื่อไร สำหรับหุ้นที่จะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในปีหน้า เช่น โรงไฟตามก็ฟ้า โรงพยาบาล และธุรกิจที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันของประชาชน

"เชื่อว่าโบรกเกอร์ต่างๆ อยู่ระหว่างการปรับเป้าดัชนีปีหน้า รวมถึงบริษัทเองมีแผนที่จะปรับเช่นกัน ซึ่งบริษัทจะขอดูเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศว่าจะกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่อย่างเต็ม 100% หรือไม่ ประกอบกับการที่จะมีการพิจารณาในเรื่องของ พ.ร.บ.ต่างด้าวด้วย" นางวิริยา กล่าว

**บล.ทิสโก้หดเป้าดัชนี 100 จุด

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล. ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้ปรับลดเป้าดัชนีปีหน้าเหลือ 780 จุด มีค่าพี/อี เรโชที่ 9 เท่า จากเดิม 840 จุด เนื่องจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น จากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของธปท. ทำให้นักลงทุนต่างชาติแสดงความไม่พอใจอย่างมากจาก รวมทั้งยังมีความกังวลถึงอนาคตจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีกหรือไม่

"ต่างชาติรับไม่ค่อยได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเห็นว่าจะดำเนินมาตรการอะไรก็ทำไปไม่ใช่กลับไปกลับมา แต่สิ่งที่ทำก็ไม่ดีตั้งแต่ต้น และยิ่งมาเปลี่ยนแปลงในเช้าวันรุ่งขึ้น ยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ โดยต่างชาติที่ได้ขายหุ้นเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่กลับเข้ามาลงทุนเลย เพราะโดยปกตินักลงทุนสถาบันจะไม่ได้ปรับมุมมองเร็วนัก คาดว่ากองทุนบางแห่งจะใช้เวลาถึง 6 เดือนกว่าจะกลับเข้ามาพิจารณาการลงทุนในไทยอีกครั้ง"

นายไพบูลย์ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นไทยสูญเสียโอกาสในปีนี้ จากที่ตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุด แต่ตลาดหุ้นไทยกลับติดลบเมื่อเทียบกับดัชนีเมื่อต้นปี และเสียดายความมั่นใจเพราะกว่าจะเรียกกลับมาได้ต้องใช้ระยะเวลาพอควร หลังจากที่ได้พยายามทำการประชาสัมพันธ์ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง และในขณะนี้คงต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่

**หวังเมกะฯกระตุ้นการลงทุน

นายอมฤต ศุขะวณิช ผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย กล่าวว่า เป้าดัชนีในสิ้นปี 2550 อยู่ที่ 795 จุด ลดจากเดิมที่ 825 จุด โดยมีค่าพี/อี เรโช ที่ 9 เท่า จากภายใต้สมมติฐานที่ว่ารัฐบาลจะต้องลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (เมกะโปรเจกต์) ที่จะเป็นปัจจัยกระตุ้นการลงทุน โดยการปรับดังกล่าวจากผลกระทบมาตรการของธปท. และคาดกำไรของบริษัทจดทะเบียนโตประมาณ 5-10% ซึ่งเป็นอัตรากำไรที่น้อย จากที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง

สำหรับกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนในปี 2550 เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ มีหุ้นขนาดใหญ่บางตัวยังน่าสนใจลงทุน ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานนักลงทุนระยะยาวที่สนใจยังสามารถลงทุนได้ด้านกลุ่มอื่นๆ อาจต้องรอนโยบายของภาครัฐว่าจะมีนโยบายใดออกมากำกับดูและหรือเลื่อนออกไป เช่น กลุ่มไฟฟ้า และกลุ่มสื่อสาร รวมถึงอาจจะต้องตระหนักถึงการควบรวมกิจการ ซึ่งในช่วงนี้กลุ่มเหล็กเริ่มที่จะมีการควบรวมกันให้เห็น

**ผันผวนสูง January Effect ไม่เกิด

นายสุกิจ อุดมศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปีหน้าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 600-780 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน โดยถือว่าเป็นจังหวะที่น่าสนใจที่นักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในหุ้นที่ไม่พึ่งพาการไหลเข้าออกของเงินทุนต่างชาติ รวมถึงหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง และแนวโน้มการเติบโตที่ดี เช่น กลุ่มโรงพยาบาท โรงแรม อาหาร ไฟฟ้า เป็นต้น

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติยังไม่มั่นใจต่อการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังจากเหตุการณ์ในวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมาซึ่งคงต้องรอประเมินสถานการณ์อีกครั้งว่าการตัดสินของนักลงทุนต่างชาติในปีหน้าจะเป็นอย่างไร โดยปัจจัยที่อาจจะทำให้นักลงทุนต่างชาติหันกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ถือว่ามีราคาถูกมากมีค่า P/E อยู่ที่ 8-9 เท่า ขณะที่ผลตอบแทนที่ได้จาการลงทุนก็อยู่ในระดับที่สูงซึ่งคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่5% และคาดว่าภายในปีหน้าผลตอบแทนที่ได้จาการลงทุนจะอยู่ในระดับ 5% เช่นกัน

"เราเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าจะไม่ดีมากนัก เพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติยังไม่มีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุน ซึ่งอาจจะไม่ได้เห็น January Effect เหมือนที่ผ่านมา"นายสุกิจกล่าว

สำหรับการลงทุนในระยะสั้นในช่วง 3 เดือนแรกปีหน้า บริษัทแนะนำให้นักลงทุนถือครองเงินสดประมาณ 60-70% เนื่องจากสภาพตลาดหุ้นยังไม่เอื้อจากที่นักลงทุนต่างชาติยังไม่เข้ามาลงทุน ซึ่งภาครัฐจะต้องเร่งในเรื่องการสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง

นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ขณะนี้ได้ปรับเป้าดัชนีปี2550อ ยู่ที่ 740-748 จุด จากเดิม ที่ตั้งเป้าไว้ที่ 800 จุด เนื่องจาก ความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 1.6-1.8 หมื่นล้านบาท โดยปัจจัยบวกที่จะเข้ามากระตุ้นการลงทุนปีหน้าคือ อัตรา ดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ราคาน้ำมันทรงตัว

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการสายงานตลาด บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คาดว่าดัชนีปี2550 จะอยู่ที่ระดับ 745 จุด ซึ่งบริษัทไม่มีการปรับประมาณการ เพราะบริษัทไม่ได้มีการตั้งเป้าไว้สูง จากการที่ปัจจัยด้านเมือง

ทั้งนี้ จากการที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีความชัดเจนว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อสุทธิอีกครั้งเมื่อใด ซึ่งคงต้องรอดูประมาณไตรมาสที่1/2550 สำหรับกลยุทธ์การลงทุนปีหน้าแนะนำหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มยานยนต์ กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มโรงแรม   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us