เบเยอร์ ประกาศบุกตลาดสีทาอาคาร หวังเบียดเจ้าตลาดอย่างทีโอเอตกเวที พร้อมเปิดตัว“สีเบเยอร์ คูล” ชูคุณสมบัติเด่นกันความร้อน
การแข่งขันในตลาดสีปีก่อนทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกขณะ เพราะผู้ผลิตแต่ละค่ายต่างก็งัดทีเด็ดออกมาสู้กัน โดยมีเป้าหมายขึ้นแท่นผู้นำตลาดสีทาบ้าน โดยในส่วนของสีทาอาคาร นิยมใช้กลยุทธ์การแข่งขันด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค อาทิ ค่ายนิปปอนเพ้นท์ ส่ง นิปปอนเพ้นท์ 3 อิน 1 ซึ่งเป็นสีที่มีความยืดหยุ่นสามารถแก้ปัญหาการแตกร้าวลายงาของผนังบ้านออกสู่ตลาดในช่วงกลางปีที่ผ่านมา
รวมถึงเจ้าตลาดอย่างสีทีโอเอก็ไม่ยอมหยุดอยู่กับที่ เพราะกลัวคู่แข่งจะตามทัน จึงส่งสีซุปเปอร์ซิลด์และทีโอเอ 7อิน1 มาเป็นหัวหอกในการทำตลาดในช่วงกลางปีที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน ซึ่งตั้งเป้ามีส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น
ขณะที่สีเบเยอร์ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่น้องใหม่แต่ถ้าเทียบชั้นกันแล้วถือว่ายังห่างกันหลายช่วงตัว โดย วรวัตน์ ชัยยศบูรณะ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เบเยอร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทมุ่งเน้นที่จะพัฒนาสินค้าให้แตกต่างจากคู่แข่ง เนื่องจากการแข่งขันช่วงนี้ค่อนข้างหนัก โดยบริษัทมองว่าอัตราการเติบโตของสีทาอาคารและผลิตภัณฑ์ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีอัตราการเติบโต
การเติบโตของตลาดสีโดยรวม น่าจะอยู่ที่ 5% หรือมีมูลค่าตลาดรวม 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสีทาอาคาร 85% สีทาไม้ 15% โดยในส่วนของสียูนีเทนซึ่งเป็นสีทาไม้ มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่40%
ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สีเบเยอร์ คูล เป็นสีทาบ้านเกรดระดับกลาง-บน มีคุณสมบัติกันความร้อนโดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 600,000 แกลลอนหรือประมาณ 200 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 1,250-2,000 บาทต่อถัง
สำหรับกลยุทธ์ด้านการตลาด บริษัทจะสร้างการรับรู้ในกลุ่มผู้บริโภค โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทใช้งบเพื่อสร้างแบรนด์ไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท โดยในปีก่อนต่อเนื่องปีนี้ จะใช้งบการตลาดไม่ต่ำกว่า 130 ล้านบาท เพื่อตอกย้ำแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และตั้งเป้าว่าในอีก 4 ปีข้างหน้าจะขึ้นแท่นอันดับ 1 ของตลาดสี จากปัจจุบันอยู่ในอันดับ 5 ซึ่งการจะขึ้นเป็นอันดับ 1 บริษัทจะต้องมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า หรือไม่ต่ำกว่า 40 ล้านลิตรต่อปี
โดยในปีนี้บริษัทจะขยายกำลังการผลิตจากปัจจุบันมีกำลังการผลิต 10 ล้านลิตรต่อปี เป็น 20 ล้านลิตรต่อปี หลังจากที่โรงงานแห่งที่ 3 เปิดดำเนินการในไตรมาสแรกปี 2550 ซึ่งจะสามารถรองรับการผลิตได้ พร้อมกันนี้บริษัทเตรียมเปิดตัวเครื่องผสมสีอัตโนมัติ โดยตั้งเป้าปีแรก ติดตั้งตามร้านค้าสี 50-60 แห่งทั่วประเทศ ราคาเครื่องละ 1 ล้านบาท
ส่วนรายได้ในปี2548 บริษัทมีรายได้ 1,500 ล้านบาท และปี2549มีรายได้ 1,800 ล้านบาท หรือเติบโต 15% โดยเป็นสีทาอาคาร 60% และสีทาไม้ 40% ส่วนปีนี้ตั้งเป้าการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% หรือไม่ต่ำกว่า 2 ,000 ล้านบาท
|