ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการสำรวจพฤติกรรมในการเลือกซื้อกระเช้าของขวัญในช่วงปีใหม่จากลุ่มตัวอย่างในกรุงเทพฯ 765 ราย อายุ 15-65 ปี พบว่าคนกรุงกว่า 30% เลือกที่จะซื้อกระเช้าเป็นของขวัญปีใหม่นี้ และ 42.6% เพิ่มงบสำหรับซื้อกระเช้าปีใหม่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มตัวอย่างกว่า 40.1% เลือกที่จะซื้อสินค้าด้วยตัวเองแล้วค่อยไปจัดลงกระเช้าปีใหม่ โดยคาดว่าจะมีมูลค่าการจับจ่ายซื้อกระเช้าปีใหม่นี้สูงถึง 800 ล้านบาท
ผู้บริโภคเมินกระเช้าสำเร็จรูป เลือกซื้อสินค้าลงกระเช้าเอง
การสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่ากลุ่มตัวอย่างกว่า 38.5% เลือกที่จะมอบกระเช้าเป็นของขวัญปีใหม่ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่ลดลงจากปีที่แล้วที่มีสัดส่วนสูงถึง 40.6% โดยมีหลายเหตุผลที่ผู้บริโภคไม่ซื้อกระเช้าเป็นของขวัญในปีนี้ ซึ่ง 61.5% ให้เหตุผลว่าได้เตรียมของขวัญอย่างอื่นไว้แล้ว ประกอบกับไม่ได้มีงบประมาณในการซื้อของขวัญปีใหม่นี้มากนัก โดยกลุ่มตัวอย่าง 45.2% มีงบประมาณในการซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่นี้เท่าเดิม ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากสภาวะทางเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นจึงมีการจับจ่ายใช้สอยอย่างระมัดระวังและรัดกุมมากขึ้นเพื่อประคองตัวเองให้ผ่านพ้นในภาวะที่ค่าครองชีพสูงขึ้น
ทั้งนี้มีกลุ่มตัวอย่างกว่า 42.6% ที่มีงบประมาณในการซื้อกระเช้าปีใหม่เพิ่มขึ้น ส่วนผู้บริโภคที่มีงบในการซื้อกระเช้าปีใหม่ลดลงมีเพียง 12.2% เท่านั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่เม็ดเงินในการซื้อกระเช้าปีใหม่นี้จะสูงขึ้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัด 800 ล้านบาทในการซื้อกระเช้าปีใหม่นี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีมูลค่ากระเช้า 635 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่นๆที่กลุ่มตัวอย่างไม่ซื้อกระเช้าเป็นของขวัญปีใหม่นั่นคือราคากระเช้าที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกลุ่มตัวอย่างมากถึง 72% ที่เห็นว่าราคากระเช้าในปีนี้สูงกว่าปีที่ผ่านมา โดยเป็นลักษณะของการลดปริมาณสินค้าในกระเช้าในขณะที่มีราคาเท่าเดิม ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ต้นทุนสินค้าทั้งค่าแรงและวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น ทำให้มีห้างร้านหันมาทำกระเช้าราคาถูกเพื่อเอาใจตลาดส่วนใหญ่
สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่เห็นว่าราคากระเช้าในปีนี้ไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมามีสัดส่วน 23.2% และมีเพียง 4.7% เท่านั้นที่เห็นว่ากระเช้ามีราคาถูกลง โดยราคากระเช้าที่ได้รับความนิยมคือไม่เกินระดับ 1,000 บาท มีสัดส่วน 68.3% ส่วนกระเช้าราคา 1,001-3,000 บาท มีสัดส่วน29.5% ขณะที่กระเช้าที่มีราคา 3,000 บาทขึ้นไปมีสัดส่วน 2.2% เท่านั้น
ยังมีเหตุผลอื่นอีกมากมายที่ผู้บริโภคไม่เลือกกระเช้าเป็นของขวัญปีใหม่เช่นคุณภาพของสินค้าในกระเช้าไม่ได้มาตรฐาน บางส่วนก็เห็นว่ากระเช้าเป็นของสิ้นเปลืองไม่จำเป็น และจากเหตุผลดังกล่าวทำให้มีผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อสินค้าเองแล้วค่อยจัดลงกระเช้าของขวัญซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 40.1% เพื่อขึ้นจากปีก่อนที่มี 30.7% ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่ซื้อกระเช้าสำเร็จรูปมีสัดส่วนลดลงจาก 69.3% เหลือเพียง 59.9% ในปีนี้ สะท้อนให้เห็นว่าแม้กระเช้าสำเร็จรูปจะอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภคเพียงใดแต่หากห้างร้านไม่ใส่ใจในรายละเอียดในสินค้าก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในอนาคต
ครอบครัวและวัยทำงาน กลุ่มเป้าหมายตลาดกระเช้า
สำหรับผู้บริโภคที่นิยมซื้อกระเช้าเป็นของขวัญปีใหม่มีอายุระหว่าง 25-34 ปี ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมของคนวัยทำงานที่ส่งมอบความสุขปีใหม่ด้วยกระเช้า โดย 60% ของกลุ่มที่มีรายได้ 20,001-30,000 บาท วางงบในการซื้อกระเช้าปีใหม่เพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มที่มีรายได้ 10,000-20,000 บาท ส่วนใหญ่ตั้งงบสำหรับกระเช้าปีใหม่ไว้เท่าเดิม คือที่ระดับราคาไม่เกิน 3,000 บาท ส่วนกระเช้าที่มีราคาเกิน 10,000 บาท จะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ 30,000 บาทขึ้นปหรือไม่ก็ใช้งบของบริษัทในการซื้อเป็นของกำนัลให้กับลูกค้า
ชนิดของสินค้า ปัจจัยหลักในการเลือกกระเช้า
ปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ปี 2550 ประกอบด้วยหลายปัจจัยประกอบกัน โดยชนิดของสินค้าที่จัดลงกระเช้าของขวัญเป็นปัจจัยแรกที่คนกรุงเทพฯใช้ในการพิจารณาก่อนการตัดสินใจซื้อโดยคิดเป็นสัดส่วน 61.7% ของกลุ่มตัวอย่าง ทั้งนี้สินค้าเพื่อสุขภาพอย่างรังนกหรือซุปไก่สกัด เป็นสินค้าที่ถูกเลือกซื้อเพื่อมอบเป็นของขวัญมากเป็นอันดับหนึ่ง นอกจากนี้ก็มีผลไม้ตามฤดูกาล น้ำผักและน้ำผลไม้ที่ปัจจุบันมีการผลิตรสชาติที่หลากหลายมากขึ้นและมีหลากหลายยี่ห้อให้เลือกมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีอาหารและผลไม้กระป๋อง รวมถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์เสริมความงานและน้ำหอม ที่ได้รับความนิยมไม่น้อย
ปัจจัยถัดมาที่ผู้ซื้อกระเช้าพิจารณาคือความคุ้มค่าของราคาเมื่อเทียบกับสินค้าในกรณีกระเช้าของขวัญสำเร็จรูปที่ทางห้างร้านจัดไว้ และราคาของสินค้าโดยรวมในกระเช้า จากนั้นจึงหันมาพิจารณาถึงยี่ห้อของสินค้าในกระเช้า และความสวยงามของบรรจุภัณฑ์ที่แต่ละรายพยายามสร้างสรรค์ชิ้นงานให้โดดเด่นเพื่อจูงใจลูกค้า ขณะเดียวกันบริการของร้านค้าก็มีบทบาทความสำคัญไม่น้อยต่อการตัดสินใจซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่
นอกจากนี้จากการสำรวจยังพบด้วยว่าคนกรุงเทพฯที่ซื้อกระเช้าของขวัญปี 68.6% ไม่เคยประสบปัญหาสินค้าในกระเช้าของขวัญปีใหม่ที่ไม่มีคุณภาพ ส่วนกลุ่มที่เคยประสบปัญหาดังกล่าวนั้นมีสัดส่วน 31.4% โดยปัญหาด้านคุณภาพที่มักจะประสบพบว่าส่วนใหญ่คือ ปัญหาสินค้าหมดอายุ และสินค้าแตกหักหรือบุบเสียหาย คิดเป็นสัดส่วน 45.1% และสัดส่วน 36.3% ตามลำดับ นอกนั้นเป็นปัญหาสินค้าไม่ครบตามรายการที่ระบุไว้ และปัญหาสินค้าเน่าเสีย ซึ่งหากเปรียบเทียบสัดส่วนกับปีที่แล้วที่พบว่าผู้ที่ประสบปัญหาสินค้าในกระเช้าของขวัญไม่มีคุณภาพที่มีสัดส่วน 61.6% ขณะที่กลุ่มที่เคยประสบปัญหาสินค้าไม่มีคุณภาพนั้นมีสัดส่วน 38.4% เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงผลสำเร็จของภาครัฐในการคุ้มครองผู้บริโภค
แต่ในขณะเดียวกันมีความเป็นไปได้เช่นกันว่า การที่สัดส่วนของผู้ที่เคยประสบปัญหาดังกล่าวลดลงนั้นก็อาจจะเป็นผลสืบเนื่องจาก การปรับตัวของผู้ซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ในยุคปัจจุบันเองที่เลือกจะสินค้าด้วยตนเองแล้วจึงนำไปให้ร้านค้าจัดกระเช้าให้อีกต่อหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสัดส่วนของกลุ่มที่เคยประสบปัญหาสินค้าในกระเช้าของขวัญไม่มีคุณภาพจะมีสัดส่วนน้อยกว่าผู้ที่ไม่เคยประสบปัญหาดังกล่าว และมีทิศทางปรับตัวลดลง แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนก็ควรจะต้องร่วมมือประสานงานกันเพื่อให้ปัญหาดังกล่าวลดน้อยลงไปอีกให้มากที่สุดอย่างต่อเนื่อง
เดินทางสะดวก อีกปัจจัยในการเลือกซื้อ
การสำรวจยังพบอีกว่าการเดินทางที่สะดวกเป็นปัจจัยสำคัญที่คนกรุงเทพฯใช้ในการตัดสินใจเลือกสถานที่เพื่อซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่เนื่องจากผู้บริโภคมีเวลาจำกัด ประกอบกับราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง ทำให้แหล่งจำหน่ายกระเช้าปีใหม่ที่ตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกต่อการเดินทางไม่ว่าจะเป็นทางรถยนต์ รถไฟฟ้า หรือ รถไฟใต้ดิน มีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง สำหรับปัจจัยรองลงมาคือความหลากหลายของสินค้าที่มีให้เลือก และคุณภาพของสินค้าที่จัดจำหน่าย ซึ่งจากการสำรวจพบว่า แหล่งซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปีนี้ก็ยังคงเป็นห้างสรรพสินค้าที่เดินทางสะดวก มีสินค้าหลากหลาย ประกอบกับกลุ่มตัวอย่างค่อนข้างมั่นใจในคุณภาพของสินค้าที่วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ขณะที่ดิสเคานท์สโตร์ และงานแสดงสินค้าของขวัญและของชำร่วยปีใหม่ เป็นอีกแหล่งจับจ่ายที่ได้รับความนิยม เนื่องจากดิสเคานท์สโตร์มีสินค้าราคาถูก และสะดวกในการเดินทางโดยมีสาขาจำนวนมากครอบคลุมหลายพื้นที่ ขณะที่งานแสดงสินค้าของขวัญและของชำร่วยปีใหม่นั้นก็มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย และมีราคาไม่แพงเกินไป ส่วนสินค้าก็มีคุณภาพดีพอควร
นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า โดยมักจะเลือกซื้อกระเช้าปีใหม่ระหว่างวันที่ 21-31 ธันวาคม 2549 คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 69.8% ดังนั้นหากห้างร้านใดจะจัดกระเช้าของขวัญในกลุ่มสินค้าของสดอย่างผลไม้ที่ได้รับความนิยมไม่น้อยก็ควรจะจัดในช่วงใกล้ๆปีใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าเน่าเสียจากการที่จัดเตรียมไว้นานจนเกินไป
นอกจากนี้กิจกรรมส่งเสริมการขายของบรรดาซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า และดิสเคานท์สโตร์ บางแห่งในปีนี้ยังเกาะกระแสปีมหามงคลเฉลิมฉลองครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีด้วยกระเช้าของขวัญปีใหม่ในโทนสีเหลือง รวมถึงผลิตภัณฑ์สินค้าในโครงการหลวงด้วย อีกทั้งยังเน้นความสวยงามของกระเช้าด้วยสีสันที่สะดุดตา และคุณภาพของสินค้าที่ได้มาตรฐานและปลอดภัยมาก อีกทั้งยังมีกิจกรรมพิเศษด้วยการมอบส่วนลดให้กับลูกค้า รวมถึงการร่วมมือกับบัตรเครดิตต่างๆเพื่อมอบส่วนลด โดยลูกค้าสามารถลุ้นรางวัลได้มากมาย รวมถึงบริการเงินผ่อน และการบริการจัดส่งฟรีถึงบ้านสำหรับลูกค้าที่มีเวลาน้อยแต่ต้องการสั่งสินค้าในปริมาณมาก ทั้งนี้ก็เพื่อกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคในการเลือกซื้อกระเช้าของขวัญในปีนี้ให้คึกคักยิ่งขึ้นท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างทรงตัว
|