"อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง การยกเลิกปิดล้อมของสหรัฐฯ จะทำให้ปีหน้าเวียดนามมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
อาเซียนจะต้องสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง โดยดึงเอาเวียดนามเข้าสู่แบบสามเหลี่ยมแห่งการเติบโตของอาเซียนด้วย"
ในวันที่ 1 มกราคม 2536 ก็ได้ก่อกำเนิดเขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟตา อันประกอบด้วยหกประเทศสมาชิกคือ
อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และไทย ซึ่งเป็นตลาดของประชากรรวมกันมากกว่า
320 ล้านคน
อาเซียนก่อตัวขึ้นครั้งแรกในวันที่ 8 สิงหาคม 2510 โดยสมาชิก 5 ประเทศ
โดยมีบรูไนเข้ามาร่วมด้วยเป็นประเทศที่หกเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2527 ในรอบ
10 ปีแรกบทบาทของอาเซียนในทางเศรษฐกิจมีจำกัดมาก ความร่วมมือในทางเศรษฐกิจเริ่มการขยายตัวอย่างจริงจังภายหลังการประชุมสุดยอดครั้งแรกที่กรุงบาหลี
(Bali Summit) ประเทศอินโดนีเซียในปี 2519
โครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น และต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันประกอบด้วยโครงการสิทธิพิเศษทางการค้าของอาเซียน
โครงการอุตสาหกรรมอาเซียน โครงการร่วมทุนทางอุตสาหกรรมของอาเซียน (AIJV)
และโครงการแบ่งผลิตทางอุตสาหกรรมอาเซียน (AIC)
ในส่วนของโครงการระบบสิทธิพิเศษทางการค้าของอาเซียน (PTA) นั้นเริ่มดำเนินการครั้งแรกในวันที่
1 มกราคม 2521 โดยประเทศสมาชิกของอาเซียนได้ให้การลดหย่อนอัตราภาษีศุลกากร
(Preferential Trading Arrangement หรือ PTA) ในขณะนี้จำนวนสินค้าที่อยู่ในระบบดังกล่าวมีทั้งสิ้น
20,916 รายการ โดยแต่ละรายการได้รับการลดหย่อนภาษีศุลกากรระหว่างร้อยละ 25-50
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติปรากฏว่าระบบพีทีเอ (PTA) นี้ ไม่ประสบความสำเร็จทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็น
เพราะรายการสินค้าส่วนใหญ่ไม่ตรงกับความต้องการของแต่ละประเทศ นอกจากนั้นยังมีการกีดกันทางการค้าในรูปอื่น
ความล้มเหลวของระบบพีทีเอประกอบกับการขยายตัวของการรวมกลุ่มการค้าโลก ไม่ว่าจะเป็นยุโรปตลาดเดียวหรือเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ
(นาฟตา) อีกทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีอัตราเร่งที่แตกต่างกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในสองทศวรรษที่ผ่านมา
อันส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศสมาชิกมีลักษณะเสริมระหว่างกันยิ่งขึ้น (Complimentarity)
ปัจจัยทั้งสามประการดังกล่าวนี้นับว่ามีส่วนกระตุ้นสู่การรวมตัวของอาเซียนในรูปของเขตการค้าเสรีในที่สุด
แนวความคิดในด้านการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนในรูปธรรมเกิดขึ้น จากการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่สาม
ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ในปี 2530 อย่างไรก็ตาม ในปี 2534 รัฐบาลไทยภายใต้นายกรัฐมนตรีอานันท์
ปันยารชุน ก็ได้พยายามผลักดันแนวความคิดดังกล่าวจนได้รับความเห็นชอบจากการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 7-8 ตุลาคม 2534 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
และในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 4 ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 27-28
มกราคม 2535 ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนก็ได้ลงนามในเอกสารว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนขึ้น
สาระสำคัญของข้อตกลงก็คืออาเซียนจะมีการจัดตั้งเขตการค้าเสรี (AFTA) โดยใช้อัตราภาษีพิเศษเท่าเทียมกัน
(CEPT) เป็นกลไกในการบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จใน 15 ปี โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่
1 มกราคม 2536 และเมื่อครบกำหนด 15 ปีแล้วอัตราภาษีของสินค้าระหว่างประเทศสมาชิกจะเท่ากับร้อยละ
0-5 โดยสินค้าที่จะอยู่ในข่ายการลดภาษีเพื่อให้เป็นเขตการค้าเสรีนั้นจะประกอบด้วยสินค้าอุตสาหกรรม
และสินค้าเกษตรแปรรูปจะเห็นได้ว่าสินค้าเกษตรนั้นจะไม่รวมอยู่ในข้อตกลง
อย่างไรก็ตาม ได้มีการจัดหมวดสินค้าไว้ 15 หมวดที่จะมีการเร่งลดอัตราภาษี
(Fast Track) ซึ่งจากการประชุมของคณะมนตรีอาเซียนครั้งล่าสุดเมื่อวันที่
11 ธันวาคม 2525 ก็ได้กำหนดระยะเวลาไว้ 10 ปี สินค้า 15 ประเภทที่อยู่ในข่ายการเร่งลดภาษีนั้นประกอบด้วยน้ำมันพืช
ซีเมนต์ เคมีภัณฑ์ เภสัชภัณฑ์ ปุ๋ย พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์หนัง เยื่อกระดาษ
สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์เซรามิกและแก้ว อัญมณีและเครื่องประดับ แคโทดทำจากทองแดงเครื่องอิเล็กทรอนิกส์และเฟอร์นิเจอร์ไม้และหวาย
โดยสรุปในรายการที่จะต้องเร่งลดภาษี (Fast Track) นั้นสินค้าที่ภาษีสูงกว่าร้อยละ
20 จะลดเหลือร้อยละ 0-5 ภายใน 10 ปี และสินค้าที่มีอัตราภาษีที่ร้อยละ 20
หรือต่ำกว่านี้ก็จะลดให้เหลือร้อยละ 0-5 ภายใน 7 ปี
ในรายการที่มิได้เร่งลดภาษี (Normal Track) หรือที่เรียกว่าโปรแกรมลดภาษีตามปกตินั้น
สินค้าที่มีอัตราภาษีร้อยละ 20 หรือต่ำกว่านั้นให้มีการลดภาษีเหลือร้อยละ
0-5 ภายใน 10 ปี
ส่วนสินค้าที่มีภาษีสูงกว่าร้อยละ 20 ก็จะลดลงสองระยะ โดยในระยะแรกจะลดเหลือร้อยละ
20 ภายใน 5-8 ปีและเหลือร้อยละ 0-5 ภายใน 7 ปี
นอกจากนั้นในการตกลงของอาฟตาเคาน์ซิลยังได้กำหนดให้มีการใช้วัตถุดิบ (Local
Content) ร้อยละ 40 โดยคิดจากประเทศใดประเทศหนึ่งหรือสะสมรวมกันหลายประเทศสมาชิกอาเซียนก็ได้
การจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนซึ่งจะเริ่มอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม
2536 นั้นย่อมจะส่งผลทั้งในแง่ดีและแง่เสียต่อประเทศสมาชิกและประเทศที่สามอื่นๆ
และนำไปสู่การปรับโครงสร้างการผลิตและการค้าระหว่างประเทศสมาชิกของอาเซียนและประเทศอื่นๆ
ในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในช่วงที่อาเซียนมีการเปลี่ยนแปลงนี้เอง ประเทศในคาบสมุทรอินโดจีน โดยเฉพาะเวียดนามก็มีพลวัตอย่างมากโดยคาดว่าในปี
2536 นั้นจะเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหม่ของเศรษฐกิจเวียดนาม อันเป็นผลมาจากความสามารถในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมหภาคของเวียดนาม
และอีกส่วนหนึ่งจากการยกเลิกการปิดล้อมทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่จะต่อเวียดนาม
ในส่วนการเปลี่ยนแปลงภายในนั้นอาจกล่าวได้ว่ารัฐบาลเวียดนามประสบความสำเร็จในการเร่งการขยายตัวในทางเศรษฐกิจ
หลังจากที่เคยทรุดตัวลง โดยคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเวียดนามในปี 2535
นี้จะสูงถึงร้อยละ 5 หลังจากที่เคยขยายตัวเพียงร้อยละ 2 เมื่อสองสามปีก่อน
การขยายตัวนั้นเกิดขึ้นทั้งภาคเกษตร ซึ่งมีแรงงานกว่าร้อยละ 70 และภาคอุตสาหกรรม
ในส่วนของเงินเฟ้อนั้นรัฐบาลเวียดนาม ก็สามารถแก้ไขจนภาวะเงินเฟ้อลดลงจากร้อยละ
140 ในปี 1991 เหลือร้อยละ 27 ในปี 1992
การส่งออกของเวียดนามก็ขยายตัวมากจนทำให้เกิดการค้าเกินดุลเป็นครั้งแรกอันเป็นประวัติการณ์
ผลพวงจากภาวะเงินเฟ้อที่ดีและการค้าที่ดีขึ้นทำให้ค่าแลกเปลี่ยนของเงินดองก็มีเสถียรภาพโดยทรงตัวอยู่ในระดับ
10,700 ดองต่อหนึ่งเหรียญสหรัฐ การลงทุนจากต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นถึงกว่าพันล้านเหรียญโดยมีไต้หวันและฮ่องกงเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุด
การยกเลิกการปิดล้อมทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาต่อเวียดนาม เปิดโอกาสให้สถาบันการเงิน
เช่น ธนาคารโลก หรือธนาคารพัฒนาแห่งเอเชียตลอดจนรัฐบาลญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และอื่นๆ
ให้ความช่วยเหลือแก่เวียดนามได้อย่างเต็มที่ และจะเป็นแรงผลักดันสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างเวียดนามกับประเทศต่างๆ
ในโลก
การเปลี่ยนแปลงทั้งในส่วนของอาเซียนและอินโดจีนดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
ย่อมหมายถึงความจำเป็นในการปรับความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับอินโดจีนโดยเฉพาะเวียดนาม
ตรรกที่จะอธิบายถึงพลวัตของทั้งสองกลุ่มประเทศคือ ความจำเป็นในการสร้างการเชื่อมโยงระหว่างกัน
(Linkage) เพื่อผลประโยชน์ต่างตอบแทน มาตรการหรือกลไกที่จะสร้างความเชื่อมโยงดังกล่าวก็คือ
การขยายเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและอินโดจีน โดยหยิบยืมแนวคิดว่าด้วยสามเหลี่ยมแห่งการขยายตัว
(Growth Triangle) มาใช้
กล่าวคือการสร้างเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจโดยใช้เงินทุนและเทคโนโลยีของประเทศที่ก้าวหน้าในอาเซียน
เพื่อใช้แรงงานหรือวัตถุดิบที่ถูกในประเทศอินโดจีนโดยเขตการจัดตั้งนั้น อาจเป็นชายแดนติดต่อระหว่างกันหรืออาจใช้เขตส่งเสริมการส่งออกในประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นเกณฑ์
ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างการเชื่อมโยงระหว่างอาเซียนกับอินโดจีน เป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการขยายความร่วมมือในภูมิภาคและการสร้างสันติภาพอันยั่งยืนในอนาคต