|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปหลังทักษิณ ชินวัตร พ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีโดยฉับพลัน ปมปัญหาที่เคยกดเอาไว้ก็โผล่ เอไอเอสรายได้ลดลงแน่จากแนวทางใหม่ของไอซีที ส่วนไอทีวีสาหัส เจ็บหนักหรือไม่อยู่ที่ความเมตตาของรัฐ กลายเป็นการบ้านชิ้นใหญ่ให้กับผู้ถือหุ้นรายใหม่
หลังจากมีการเข้ายึดอำนาจดูเหมือนสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทในเครือข่ายชิน คอร์ป ที่แม้จะเคยเกิดข้อท้วงติงในยุคที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เรื่องเหล่านั้นก็ผ่านพ้นไปได้ทุกครั้ง แต่ในครั้งนี้บริษัทในเครือ 2 แห่งคือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือ ITV กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่
เริ่มจากข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) ได้เสนอแนวทางปรับเปลี่ยนการจัดสรรส่วนแบ่งรายได้ในการให้บริการโทรศัพท์แบบเติมเงิน โดยกำหนดให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่งรายได้ให้แก่เจ้าของสัมปทานจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 25 ของรายได้ และปรับลดการส่งรายได้ในส่วนของโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบจดทะเบียนจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 25 ซึ่งจะทำให้เอกชนทุกรายต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้แก่รัฐเท่ากัน นั่นหมายถึงรายได้ของ ADVANC จะลดลงมาใกล้เคียงกับผู้ให้บริการรายอื่น
เนื่องจาก ADVANC จ่ายส่วนแบ่งรายได้ 30% จากบริการแบบรายเดือนและ 20% จากบริการแบบเติมเงิน มาเป็นจ่ายที่ 25% ของการให้บริการทั้ง 2 ประเภท เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2550 จนหมดอายุสัมปทาน ย่อมกระทบต่อรายได้ของบริษัท เนื่องจากรายได้จากลูกค้าในระบบเติมเงินของ ADVANC คิดเป็น 66% ของรายได้รวม
นอกจากนี้ยังมีปัญหาในเรื่องค่าใช้โครงข่าย หรือ แอ็คเซ็ส ชาร์จ ที่ค่ายดีแทคและทรูมูฟ ต้องจ่ายให้บริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) ในอัตรา 200 บาทต่อเลขหมายสำหรับโทรศัพท์ประเภทจดทะเบียน และอัตราร้อยละ 18 ของรายได้สำหรับประเภทบัตรเติมเงิน ขณะที่เอไอเอสเป็นเพียงผู้ให้บริการรายเดียวที่ได้สิทธิพิเศษได้ลดส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์แบบเติมเงิน และไม่ต้องจ่ายค่าเชื่อมเครือข่ายเพราะเป็นคู่สัญญาโดยตรงของทีโอที
รวมถึงค่าเชื่อมโยงเครือข่ายหรืออินเตอร์คอนเน็กชั่นชาร์จ ที่เอไอเอสต้องจ่ายค่าเชื่อมโยงเครือข่ายให้กับทีโอที จึงเป็นที่มาของการจับมือระหว่างดีแทคและทรูมูฟประกาศหยุดจ่ายค่าเชื่อมโยงเครือข่าย
เรื่องดังกล่าวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เตรียมส่งสัญญาสัมปทานธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมทุกฉบับให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความใหม่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขัน ถือได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับเอไอเอส เพราะสิทธิประโยชน์ที่มีเหนือคู่แข่งนับวันจะยิ่งลดลง หลังจากที่นายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณ ชินวัตร พ้นจากเก้าอี้โดยฉับพลัน
อีกบริษัทหนึ่งที่ถือว่าประสบเคราะห์กรรมที่หนักหนาสาหัสคือ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ที่ศาลปกครองสูงสุดได้ยืนยันคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ในกรณีที่ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ส่งผลให้ไอทีวีต้องปรับผังรายการใหม่กลับไปสู่การนำเสนอรายการที่เป็นสาระ 70% บันเทิง 30% ต้องกลับไปจ่ายค่าสัมปทานในอัตรา 44% ของรายได้หรือ 1,000 ล้านบาทต่อปี จากเดิมที่จ่ายค่า 230 ล้านบาทต่อปี รวมถึงต้องจ่ายค่าสัมปทานย้อนหลังบวกดอกเบี้ย 15% ต่อปีเกือบ 3 พันล้านบาท และต้องจ่ายค่าปรับกรณีปรับผังรายการที่ผิดสัญญาสัมปทาน
รวมแล้วค่าปรับที่คิดเป็นรายวันตามที่สำนักปลัดนายกรัฐมนตรีคำนวณออกมาราว 1 แสนล้านบาท แต่ยังต้องรอข้อสรุปการเจรจาต่อรองค่าปรับกันอีกครั้ง
ที่ผ่านมาไอทีวีได้ปรับผังรายการจากเดิมที่ต้องเสนอรายการที่เป็นสาระ 70% บันเทิง 30% มาเป็นรายการสาระ 50% บันเทิง 50% หลังจากอนุญาโตตุลาการตัดสินให้ไอทีวีชนะคดีพิพากกับสำนักปลัดนายกรัฐมนตรีเมื่อ 30 มกราคม 2547 จากนั้นสำนักปลัดนายกมีการยื่นอุทธรณ์และเมื่อ 9 พฤษภาคม 2549 ศาลปกครองมีคำพิพากษาเพิกถอนคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ ถัดมาทางไอทีวีจึงยื่นอุทธรณ์และผลตัดสินเมื่อ 13 ธันวาคม 2549 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลปกครอง
บริษัทลูกชิน คอร์ป ทั้ง 2 รายล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบที่มีผลต่อรายได้ของบริษัท หลังจากที่พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่ง แม้ก่อนหน้านี้จะมีการร้องเรียนหรือมีคดีความกันบ้าง แต่เรื่องต่าง ๆ กลับเดินไปอย่างช้า ๆ ถึงวันนี้ดูเหมือนว่าที่หนักหนาสาหัสมากที่สุดคงเป็นกรณีของไอทีวีที่ต้องจ่ายค่าสัมปทานในอัตราเดิม ผลิตรายการในสัดส่วนสาระต่อบันเทิงตามเดิม และค่าปรับที่น่าจะได้ข้อสรุป แม้จะไม่สูงถึงแสนล้านบาท แต่ก็ทำให้ตัวไอทีวีคงต้องมีปัญหาต่อสถานะทางการเงินไม่น้อย
เพราะที่ผ่านมาในส่วนของไอทีวีผู้ที่ออกมาขับเคลื่อนเรียกร้องให้ช่วยรักษาไอทีวีกลับเป็นพนักงาน ผู้บริหารดูเหมือนจะมีความพยายามต่อสู้ในเรื่องเหล่านี้น้อยเกินไป ส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่ยังคงเงียบกริบในเรื่องนี้
งานนี้ผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่จากสิงคโปร์คงต้องคิดหนักว่าจะสู้ต่อหรือจะถอดใจ
|
|
|
|
|