Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน26 ธันวาคม 2549
ตลาดหุ้นซึมเทรดแค่5พันล.             
 


   
search resources

Stock Exchange




ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯวานนี้(25 ธ.ค.) ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2549 ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความซบเซา เหตุไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน ขณะที่ปัจจัยลบช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเรื่องของมาตรการปกป้องค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังสร้างความไม่มั่นใจต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก

โดยตลอดช่วงเช้าดัชนีแกว่งตัวในแดนลบ ก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ช่วงท้ายตลาด ทำให้ดัชนีปิดที่ 684.32 จุด เพิ่มขึ้น 4.01 จุด หรือ 684.32 จุด และเป็นจุดสูงสุดของวัน ขณะที่จุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 677.10 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางเพียง 5,068 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าซื้อขายต่ำสุดในรอบระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่ 26 เดือนกรกฎาคม 2549 ที่มีมูลค่าการซื้อขาย 4,572 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 269.08 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 397.42 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 666.50 ล้านบาท

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า การซื้อขายหุ้นเป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ไว้ เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้นและนักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุน ประกอบเป็นวันหยุดของนักลงทุนต่างประเทศ แต่ดัชนียังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (26 ธ.ค.) คาดว่ามูลค่าการซื้อขายจะยังคงเบาบางตลอดทั้งสัปดาห์ ทำให้บรรยกาศการลงทุนมีควาาซบเซา เพราะนักลงทุนต่างชาติหยุดพักผ่อนและเข้าใกล้วันหยุดปีใหม่ของไทย แต่จะมีแรงเก็งกำไรเข้ามาในหุ้นขนาดเล็ก โดยมองแนวรับที่ระดับ 670-675 จุด แนวต้านที่ระดับ 685-690 จุด

นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีมิโก้ กล่าวว่า ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากใกล้ช่วงวันหยุดยาวประกอบกับตลาดหุ้นต่างประเทศปิดทำการหลายแห่ง โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทยในวันนี้(26ธ.ค.) ดัชนีจะยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ เช่นเดียวกันวานนี้ เพราะไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระตุ้น ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังอยู่ในช่วงของการปรับพอร์ตการลงทุน

ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนให้ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสภถานการณ์ โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 685 จุด และแนวต้านประเมินไว้ที่ 690 จุด

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนสายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า สาเหตุที่มูลค่าการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากเข้าใกล้วันหยุดเทศกาลวันปีใหม่ ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติยังคงรอดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากกระทรวงการคลัง รวมถึงแนวทางในการดึงนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุน ภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการสกัดกั้นการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในวันนี้ คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยแนะนำนักลงทุนทยอยซื้อหุ้นกลุ่มขนาดเล็กเมื่อราคาปรับตัวลดลง ส่วนแนวรับที่ 677 จุด และแนวต้านที่ 690 จุด

นางสาวศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วงปลายสัปดาห์เชื่อว่าอาจจะมีการเข้ามาสร้างราคาหุ้นบางบริษัทเพื่อปิดงบการเงินงวดปี 2549 โดยแรงซื้อที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ได้มาจากนักลงทุนต่างชาติเนื่องจากยังไม่มีความมั่นใจในตลาดหุ้น โดยประเมินแนวรับที่ 680-682 จุด และแนวต้านที่ 687-690 จุด

โบรกฯปรับเป้าดัชนีปี50

นายอมฤต ศุขะวณิช ผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า การประเมินการซื้อขายในตลาดหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปียังคงประเมินได้ยาก เนื่องจากตลาดมีความผันผวน โดยคาดว่านักลงทุนในประเทศส่วนใหญ่จะทำการซื้อขายกันมากกว่า ขณะที่นักลงทุนน่าจะหยุดทำการซื้อขายซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มูลค่าการซื้อขายปรับลดลงค่อนข้างมาก

สำหรับสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมในช่วงนี้ นักลงทุนควรพิจารณาหุ้นที่มีการจ่ายปันผล ซึ่งสัดส่วนการลงทุนเป็นการลงทุนในหุ้น 60-70% ลงทุนในตราสารหนี้ 20% และเงินฝาก 10% โดยประเมินแนวต้านที่สำคัญคือ 700 จุด ว่าจะสามารถปรับขึ้นเกิน 700 จุดหรือไม่

ส่วนดัชนีตลาดหุ้นในปีหน้าบริษัทคาดว่าน่าจะอยู่ที่ 795 จุด จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 825 จุด เนื่องจากความผลกระทบจากมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของ ธปท. ทั้งนี้ การประเมินดังกล่าวอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่ารัฐบาลจะต้องลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (เมกกะโปรเจกต์) ที่มีขนาดใหญ่ เพื่อเป็นการดึงนักลงทุนต่างชาติให้กับเข้ามาลงทุน

"ในปี 2550 เราประเมินกำไรของบริษัทจดทะเบียนโตประมาณ 5-10% ซึ่งเป็นอัตรากำไรที่น้อย เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีความเสี่ยงสูง ในขณะที่เพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ยังมีผลตอบแทนจากการลงทุน"

ด้านนักลงทุนต่างชาติที่ขายออกมาในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะเป็นการขายที่ขาดทุนแ ต่ถือว่ายังมีกำไรอยู่ ส่วนนักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่ที่ผ่านมาในช่วงสิ้นปีมักขายทำกำไร แต่ในช่วงสิ้นปีนี้ มองว่าเป็นเรื่องยากที่จะสามารถทำกำไรได้ เพราะมีความเสี่ยงที่หากเมื่อดึงดัชนีให้ปรับเพิ่มขึ้นแล้ว นักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มจะกลับมาขาย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us