Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน25 ธันวาคม 2549
ข่าวเด่นปี 49 : เทมาเส็กเจ๊งหุ้น "ชินฯ" แสนล้าน             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
โฮมเพจ เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์

   
search resources

ชินคอร์ปอเรชั่น, บมจ.
เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์




ชื่อ"เทมาเส็ก" การปรากฏขึ้น เมื่อได้ทุ่มเงินลงทุนมูลค่ากว่า 7.3 หมื่นล้านบาท เพื่อแลกกับการเข้ามาซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN รวมถึงบริษัทในกลุ่มอีก 4 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัทชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SATTEL, บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือ ITV และบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) หรือ CSL จากครอบครัว "ชินวัตร-ดามาพงษ์"

ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมเงินทุนที่จะต้องใช้ในการทำรายการเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด (เทนเดอร์ออฟเฟอร์) ซึ่งภายหลังการทำรายการดังกล่าวเทมาเส็กต้องใช้เงินถึงกว่า 1.4 แสนล้านบาท เพื่อครอบครองหุ้น บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น ผ่านบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด จำนวน 1,742,407,239 หุ้น หรือสัดส่วน 54.53% และบริษัทแอสแพน โฮลดิ้ง จำกัด จำนวน 1,334,354,825 หุ้น หรือสัดส่วน 41.76% รวมทั้งหมด 3,076,762,064 หุ้นหรือ 96.29%

คำถามที่เกิดขึ้นมากมายภายหลังดีลประวัติศาสตร์ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ไม่ว่าจะเป็นความชอบธรรมในการขายหุ้นของเอกชนที่ได้รับสัญญาสัมปทานในธุรกิจที่สำคัญต่อภาคธุรกิจจากรัฐบาล หรือความชอบธรรมในประเด็นที่ยังถกเถียงกันมาอย่างต่อเนื่องเรื่องการเสียภาษีจากการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ ที่มีข้อยกเว้นให้กับบุคคลธรรมดาที่ซื้อขายหุ้นบริษัทจดทะเบียนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ต้องเสียภาษีนิติบุคคลธรรมดา ซึ่งช่องโหว่ที่เกิดขึ้นทำให้มีการนำมาใช้เพื่อรักษาประโยชน์ของกลุ่มบุคคล หรือบุคคลที่ต้องการจะหลีกเลี่ยงการเสียภาษีดังกล่าวตัวการขายหุ้น หรือโอนหุ้นในราคาที่ไม่เท่ากับราคาที่ซื้อขายในกระดานหลักทรัพย์จากนิติบุคคลให้กับบุคคลธรรมดาเพื่อให้เป็นไปตามข้อยกเว้นเรื่องการภาษีของกรมสรรพากร

นอกจากนี้ คำถามที่อยู่ระหว่างการหาคำตอบเพื่อสร้างบรรทัดฐานให้กับสังคมไทยเกี่ยวกับกรณีการถือหุ้นแทน (นอมินี) ของบริษัทต่างชาติที่หาช่องโดยการตั้งบริษัทในไทย โดยให้นักลงทุนไทยเข้ามาร่วมถือหุ้นในสัดส่วนที่มากกว่า 50% เพื่อให้คล้ายเป็นบริษัทของคนไทย แต่อำนาจในการบริหารงานรวมถึงอำนาจในการจัดการยังตกอยู่กับผู้ถือหุ้นจากต่างประเทศ รวมถึงผลประโยชน์ที่ผู้ถือหุ้นไทยและสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุมกลับไม่สอดคล้องกับสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทนั้นอย่างชัดเจน

โดยการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ ได้ปรากฎชื่อบุคคลที่เข้ามาเป็นตัวแทนในการถือหุ้นชินคอร์ปหลายคนไม่ว่าจะเป็นนายพงส์ สารสิน นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ และนายสุรินทร์ อุปพัทธกุล หรือดะโต๊ะสุรินทร์ โดยขณะนี้ยังไม่ได้มีข้อสรุปที่ชี้ชัดว่าการจัดตั้งบริษัท แอสเปน โฮลดิ้งส์ จำกัด, บริษัทซีด้า โฮลดิ้งส์ จำกัด บริษัทไซเปรส โฮลดิ้งส์ จำกัด และบริษัทกุหลาบแก้ว จำกัด ถือว่าเป็นการจัดตั้งเพื่อเลี่ยงมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 โดยยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทย ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนหรือร่วมประกอบธุรกิจอันมิได้อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจนั้น

**มาดามโฮชิงรับผลขาดทุน

อย่างไรก็ตาม เส้นทางการเข้ามาลงทุนของเทมาเส็กครั้งนี้ ก็ไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลายเสียทีเดียว เพราะนอกจากจะสร้างข้อกังขาในประเด็นต่างๆ แล้ว ราคาและมูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของกลุ่มชินคอร์ป ได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงเมื่อเทียบกับมูลค่าการลงทุนของเทมาเส็ก

จนกระทั้ง มาดาม โฮ ชิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) กองทุนเทมาเส็ก ได้กล่าวยอมรับในระหว่างการประชุมนักลงทุนของมอร์แกน สแตนเลย์ ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อช่วงกลางเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาว่า การลงทุนของเทมาเส็กในบมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ขณะนี้เทมาเส็กขาดทุนจากการปรับตัวลงของราคาหุ้นบมจ. ชินคอร์ป ประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 55,500 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน37 บาทต่อดอลลาร์) แต่เทมาเส็กยังเชื่อมั่นว่าบริษัทมีความระมัดระวังกับการลงทุนในไทย จึงต้องฟื้นความเชื่อมั่นกลับคืนมาให้มั่นคงก่อน

**เทมาเส็กเล็งลดสัดส่วนถือหุ้น

ขณะที่นายจิมมี่ ฟุน กรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการลงทุน บริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ได้ทำหนังสือชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการลงทุนในบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN ของกลุ่มเทมาเส็ก ว่าเหตุผลที่สนใจลงทุนในบมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่โดดเด่นในภูมิภาค แต่หลังจากการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของ SHIN เมื่อเดือนมีนาคม 2549 ปรากฏว่ามีผู้ถือหุ้นทั่วไปขายหุ้นเกือบทั้งหมดให้กับกลุ่มผู้ลงทุน ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงกว่าที่คาดหมายไว้ ดังนั้น กลุ่มผู้ลงทุนจะลดสัดส่วนการถือหุ้นใน SHIN ในเวลาและรูปแบบที่เหมาะสม

ทั้งนี้ เทมาเส็กยืนยันว่า เทมาเส็ก เคารพในความคิดเห็น และทราบถึงความรู้สึกของประชาชนชาวไทย เทมาเส็กต้องการให้บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ยังไปบริษัทไทยที่เป็นความภูมิใจของประเทศไทยและคนไทยทั้งประเทศต่อไป และมีการบริหารจัดการโดยคนไทยที่มีความเป็นมืออาชีพและมีศักยภาพ

"เทมาเส็กเป็นกลุ่มทุนที่มีฐานอยู่ในเอเชีย เชื่อว่าเป็นการดีที่จะลงทุนในเอเชียเพื่อประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้นจึงตัดสินใจลงทุนในประเทศไทย เพราะเห็นว่าไทยมีศักยภาพสูง มีเสถียรภาพและความพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน และแนวการลงทุนของเทมาเส็กยังจะคงดำเนินต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง"

ในภาคของตลาดทุนมุมมองที่เกิดขึ้นภายหลังบริษัทที่ถือได้ว่าเป็นผู้ประกอบการธุรกิจสื่อสารอันดับ 1 ของประเทศถูกครอบงำด้วยการเข้ามาถือหุ้นจากกองทุนต่างประเทศความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นทั้งภายในองค์กร หรือโครงการการแข่งขันที่จะปรับเปลี่ยนไปยังคงต้องใช้เวลาในการตอบคำถามเหล่านี้

ทั้งนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงมากมายในช่วงปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะความไม่มั่นใจของนักลงทุนหลังการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท รวมถึงการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศภายหลังคณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทำการรัฐประหารเพื่อยึดอำนาจการปกครองจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 และล่าสุด 19 ธ.ค. การประกาศใช้มาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จนส่งผลทำให้ราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เกือบทุกบริษัทปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงโดยดัชนีปรับตัวลดลงกว่า 108 จุด ส่งผลทำให้ราคามูลค่าหุ้นและมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เกตแคปของบริษัทต่างๆ ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงเช่นกัน โดยมูลค่ามาร์เกตแคปรวมในวันดังกล่าวปรับตัวลดลงกว่า 8 แสนล้านบาท

**เทมาเส็กเจ๊งแสนล้าน

สำหรับราคาหุ้น 5 บริษัทที่เทมาเส็กถือหุ้นทั้งทางตรงและทั้งผ่านจากการที่บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น เข้าไปถือหุ้น(ณ 22 ธ.ค.) เปรียบเทียบกับราคาที่เทมาเส็กตกลงซื้อหุ้น SHIN ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ขณะที่บริษัทย่อยเทียบกับราคาปิดเมื่อวันที่มีการทำรายการซื้อขายดังกล่าวโดยราคาหุ้น SHIN ปิดที่ 26.75 บาท ลดลง 22.50 บาท หรือ 45.68%, หุ้น ADVANC ราคาปิดที่ 76 บาท ลดลง 28 บาท หรือ 26.92%, หุ้น SATTEL ราคาปิดที่ 7.05 บาท ลดลง 8.45 บาท หรือ 54.51%, หุ้น CSL ราคาปิดที่ 3.58 บาท ลดลง 0.46 บาท หรือ 11.38%, หุ้น ITV ราคาปิดที่ 1.39 บาท ลดลง 10.51 บาท หรือ 88.31%

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาผลขาดทุนของเทมาเส็กในช่วงเกือบ 11 เดือนที่เข้ามาลงทุนในหุ้นบมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น รวมถึงการได้รับพ่วงบริษัทที่ชินคอร์ป ถือหุ้นอีก 4 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC จำนวน 1,263,712,000 หุ้น หรือ 42.80%, บริษัทชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SATTEL จำนวน 450,870,934 หุ้น หรือ 41.34%,บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือ ITV จำนวน 638,603,846 หุ้น หรือ 52.94% และบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) หรือ CSL ซึ่งถือโดยบริษัท ชิน บอรดแบนด์อินเตอร์เนต (ประเทศไทย) จำกัด ที่เป็นบริษัทในเครือของ บมจ.ชินแซทเทลไลท์ จำนวน 250,099,990 หุ้น หรือ 40.02%

จากการเปรียบเทียบ พบว่า เทมาเส็กขาดทุนจากการลงทุนใน SHIN บริษัทเดียวถึง 6.922 หมื่นล้านบาท ขณะที่มูลค่าของราคาหุ้นในบริษัทย่อยที่ถือลดลงโดย ADVANC ขาดทุน 3.538 หมื่นล้านบาท, SATTEL ขาดทุน 3.809 พันล้านบาท, CSL ขาดทุน 115.045 ล้านบาทและ ITV ขาดทุน 6.711 พันล้านบาท รวม 4 บริษัทที่ SHIN ถือหุ้นมูลค่าหุ้นลดลงกว่า 4.602 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมทั้ง 5 บริษัท มูลค่าหุ้นที่ลดลงแล้วกว่า 1.15 แสนล้านบาท

***ผลงานไตรมาส 3 ทรุดฮวบ

ด้านผลการดำเนินงานของกลุ่มชินคอร์ปในไตรมาส 3/49 ซึ่งปรับตัวลดลงจนอาจจะสะท้อนได้ว่าการเทขายหุ้นออกมาของตระกูล"ชินวัตร-ดามาพงษ์" เป็นการผลักภาระ ฉวยโอกาสในภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศยังไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ปกติ รวมถึงการรู้ถึงแนวโน้มธุรกิจว่าธุรกิจสื่อสารใกล้ถึงจุดที่เรียกว่าอิ่มตัวหลังจาการเติบโตอย่างโดดเด่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ SHIN ในไตรมาส 3 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 855.43 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.27 บาทเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 1,876.56 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.63 บาทลดลงจากปีก่อน 1,021.13 ล้านบาท คิดเป็น 54.42% ขณะที่งวด 9 เดือนกำไรสุทธิ 4,680.32 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.51 บาทลดลงจากปีก่อนที่กำไรสุทธิ 6,583.06 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.20 บาทหรือกำไรสุทธิลดลง 1,902.74 ล้านบาท คิดเป็น 28.90%

โดยสาเหตุที่ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิไตรมาส 3 ลดลงกว่า 54.42% เกิดจากส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียลดลง 978.26 ล้านบาท จากไตรมาส3 ปี 2548 จำนวน 1,874.09 ล้านบาท เหลือ 895.83 ล้านบาท หรือลดลง 52.20%

ทั้งนี้ จากการพิจารณากำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียของ SHIN ปรากฏว่าลดลงทุกบริษัท เช่น บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำนวน 1,561 ล้านบาท ลดลง12.84% บมจ.ชิน แซทเทลไลท์ -309 ล้านบาท ลดลง 598.39% บมจ. ไอทีวี 26 ล้านบาทลดลง 61.76% อื่นๆ -382 ล้านบาท ลดลง 712.77%

สำหรับสาเหตุที่กำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียของ SHIN ลดลงเกิดจากบริษัทย่อยที่ SHIN ถือหุ้นอยู่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ลดลงเกือบทุกบริษัทโดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียน 4 แห่ง ซึ่งได้มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเกิดจากกลุ่มชินคอร์ปไม่ได้การเอื้อประโยชน์ทางการเมืองหลังจากหมดยุคสมัยของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC กำไรสุทธิ 3,653.31ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.24 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 4,178.48ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.42 บาท หรือกำไรสุทธิลดลง 525.17 ล้านบาท คิดเป็น12.57% บมจ.ซีเอส ล็อกซอินโฟ หรือ CSL กำไรสุทธิ 62.95 ล้านบาทกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.10 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่กำไรสุทธิ 41.71 ล้านบาทกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.07 บาท หรือเพิ่มขึ้น 50.92%

บมจ.ไอทีวี หรือ ITV กำไรสุทธิ 88.75 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น0.07 บาท ลดลงจากปีก่อนที่กำไรสุทธิ 168.46 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.14 บาทหรือลดลง 47.32% และบมจ.ชินแซทเทลไลท์ หรือ SATTEL ขาดทุนสุทธิ746.82 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.68 บาท เทียบกับปีก่อนกำไรสุทธิ 154.43ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.14 บาท หรือขาดทุนเพิ่มขึ้นกว่า 583.60%

ทั้งนี้ เป็นเรื่องที่ยากที่จะสรุปได้ว่าการเข้ามาลงทุนของ "เทมาเส็ก" ในรอบนี้ถือว่าได้หรือเสีย เนื่องจากมูลค่าการลงทุนที่ลดลงไปค่อนข้างจากวันที่เริ่มเข้ามาลงทุนจนถึงปัจจุบันอาจจะสะท้อนถึงเม็ดเงินลงทุนที่ลดลงแต่หากจะมองถึงสิ่งที่เทมาเส็กได้รับมาจากการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และยากที่จะประเมินค่า คือ สัญญาสัมปทานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสื่อสารและเทคโนโลยีของประเทศที่ต้องตกไปอยู่ภายใต้อำนาจการบริหารงานของกองทุนจากต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนต่างชาติคงต้องใช้ประกอบในการพิจารณาเลือกลงทุนในแต่ละประเทศหลังจากนี้ นอกเหนือจากความน่าสนใจทางธุรกิจ โอกาสในการเติบโตแล้ว อำนาจของผู้บริหารประเทศกับความเกี่ยวข้องในธุรกิจนั้นๆ จะต้องใช้ประกอบการพิจารณาเพื่อลงทุนด้วย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us