ธุรกิจภาพยนตร์ปีหน้าคาดพุ่งถึง 5,000 ล้านบาท สูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา เหตุมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศจ่อคิดเข้าฉายเพียบ ฟากภาพยนตร์ไทยมี "นเรศวร"เป็นหัวหอกนำทัพกวาดรายได้เช่นเดียวกัน ค่าย"จีทีเอช"เตรียมวางหมากลงสู้ อัดภาพยนตร์ลงจอกว่า 8 เรื่อง คาดรายได้แตะ 700ล้านบาท
นายวิสูตร พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทจีเอ็มเอ็ม ไท ฮับ จำกัด หรือ จีทีเอช เปิดเผยว่า สถานการณ์ธุรกิจภาพยนตร์ในปีหน้า คาดว่าจะมีมูลค่าสูงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท เนื่องจากมีภาพยนตร์ทั้งไทยและต่างประเทศ เตรียมเข้าฉายเป็นจำนวนมาก โดยคาดว่าจะมีภาพยนตร์จากต่างประเทศเข้าฉายอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 300 เรื่อง แต่บางเรื่องอาจจะเข้ามาในรูปแบบ ดีวีดี และวีซีดีแทน หากเป็นภาพยนตร์ระดับรอง หรือมองดูแล้วไม่อยู่ในความสนใจในช่วงเวลานั้นๆ
โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนพ.ค. -ส.ค.นั้น จะมีภาพยนตร์ต่างประเทศฟอร์มยักษ์หลายเรื่องที่จะเข้าโรงฉาย ได้แก่ สไปเดอร์แมน 3, ไพรเรท ออฟ เดอะ คาริบเบียน3, แฮร์รี่ พอตเตอร์ และเอเลี่ยน ปะทะ พรีเดเตอร์ 2 ซึ่งแต่ละเรื่องจะเป็นภาพยนตร์ภาคต่อที่สร้างรายได้ค่อนข้างสูง ส่วนภาพยนตร์ไทยนั้น คาดว่าจะมีภาพยนตร์เข้าโรงฉายไม่ต่ำกว่า 50 เรื่อง เพิ่มสูงขึ้นจากเดิมในปีนี้ที่เข้าฉาย 43 เรื่อง นำโดยภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง "นเรศวร" ที่มีทั้งหมด 2 ภาค พร้อมเข้าโรงฉายช่วงเดือนมกราคมที่จะถึงนี้
"ปีหน้าถือเป็นปีที่ธุรกิจภาพยนตร์เติบโตสูงสุดที่เคยมีมา โดยเกิดจากปัจจัยทางด้านตัวภาพยนตร์เอง ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศนั้น คาดว่าภายนตร์เรื่อง "นเรศวร" จะส่งผลให้สัดส่วนรายได้ในกลุ่มภาพยนตร์ไทยเติบโตขึ้นสูงมาก คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท จากเดิมในปี2549 ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 1,150 ล้านบาท"
ทั้งนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะนำภาพยนตร์เข้าฉายในปีหน้าจำนวน 8 เรื่อง ได้แก่ ไฟนอล สกอร์ 365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์ เข้าฉายเดือนกุมภาพันธ์, แฝด เข้าฉายเดือนมีนาคม, สายลับจับบ้านเล็ก เข้าฉายเดือนมิถุนายน เป็นต้น โดยยังมีอีก 3 เรื่องที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการสรุปงานอยู่ แต่คาดว่าใน 1 เรื่อง จะเป็นภาพยนตร์รักโรแมนติก และอีก 2 เรื่องจะเปิดกล้องช่วงต้นปี 2550
สำหรับภาพยนตร์แต่ละเรื่องนั้น ปกติจะใช้งบลงทุนเฉลี่ยเรื่องละ 30-40 ล้านบาท แต่มีเพียงไฟนอล สกอร์ฯ ที่ใช้งบลงทุนน้อยที่สุดเพียง 15 ล้านบาท นื่องเป็นภาพยนตร์ในรูปแบบเรียลิตี้ ไม่มีค่าโปรดักส์ชั่นเฮาส์ ส่วนภาพยนตร์ที่ใช้งบสูงสุด คือ แฝด 60 ล้านบาท เชื่อว่าภาพยนตร์ทั้ง 8 เรื่อง จะสร้างรายได้ให้ไม่ต่ำกว่า 600-700 ล้านบาท
สำหรับรายได้ในปีนี้ คาดว่าจะมีมูลค่า 470 ล้านบาท (เป็นรายได้ที่ยังไม่ได้หักส่วนหนึ่งให้ทางโรงภาพยนตร์) มาจากรายได้จากการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ 50 % และรายได้เสริมจากส่วนอื่นๆ 50 % เช่น สปอนเซอร์ และการขายสิทธ์ให้ต่างประเทศ โดยในปีนี้มีภาพยนตร์เข้าฉายจำนวน 6 เรื่อง น้อยกว่าเป้าที่วางไว้ 9 เรื่อง เนื่องจากช่วงจังหวะเวลาในการลงโรงฉายที่มีปัญหา เช่น ชนกับภาพยนตร์ต่างประเทศ หรือภาพยนตร์ไทยที่เป็นแนวเดียวกัน
ภาพรวมของธุรกิจภาพยนตร์ในปีนี้ มีภาพยนตร์ไทยที่สร้างรายได้ใกล้เคียง 100 ล้านบาท เพียง 2 เรื่อง คือ ก้านกล้วย และ โหน่งเท่ง นักเลงภูเขาทอง จากจำนวนภาพยนตร์ไทยที่เข้าฉายทั้งหมด 43 เรื่อง คิดเป็นสัดส่วน 30 % คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,150 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวม 3,700-3,800 ล้านบาท ซึ่งเฉลี่ยแต่ละเรื่องจะสร้างรายได้อยู่ที่ 26 ล้านบาท ส่วนภาพยนตร์ต่างประเทศที่สร้างรายได้เกิน 100 ล้านบาท ได้แก่ เอ็มไอ3 และไพรเรท ออฟ เดอะ คาริบเบียน
|