|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ประธานสมาคมธนาคารไทยผสมโรงขอแบงก์ชาติยกเว้นสำรองเงินทุน 30%สำหรับบริษัทที่กู้เงินจากต่างประเทศในระยะเวลาเกิน 1 ปี ยาหอมแบงก์ชาติพลิกสถานการณ์เร็วทำให้นักลงทุนพอใจ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจับตาหากมาตรการนี้ไม่ได้ผล มีโอกาสสูงที่แบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ย คาดจนถึงสิ้นปีบาทแกว่งในกรอบ 35.50-36.00 บาท ด้านนักวิชาการหนุนระบุถือเป็นมาตรการที่ทำตรงจุดที่สุดแล้ว
คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ยกเลิกมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทสำหรับเงินที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และเงินลงทุนโดยตรงนั้น คาดว่าจะส่งผลให้นักลงทุนพอใจ และน่าจะเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนกลับคืนมาได้ รวมทั้ง ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนกลับมาคึกคักมากขึ้น ส่วนกรณีที่ธปท.ได้เปลี่ยนแปลงมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทมาเป็นการยกเลิกนั้น ประเมินว่าน่าจะเป็นการสร้างจุดแข็ง และทำให้นักลงทุนพอใจ เพราะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
“มาตรการดังกล่าวถือว่าเป็นจุดแข็งที่ธปท.พลิกสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วทำให้นักลงทุนพอใจ และเรียกความมั่นใจนักลงทุนกลับคืนมาได้ ซึ่งเชื่อว่าคงไม่มีผลกระทบ” คุณหญิงชฎา กล่าว
อย่างไรก็ตามในส่วนสมาคมธนาคารไทยได้มีการหารือร่วมกัน และเห็นว่าควรที่จะเสนอให้ ธปท.ปรับปรุงมาตรการบางอย่าง คือ ให้ยกเลิกการตั้งสำรองเงินทุน 30%สำหรับบริษัทไทยที่ต้องการกู้เงินจากต่างประเทศเข้ามาในระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป เพราะเห็นว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากเงินต่างประเทศและเป็นเงินทุนในระยะยาว ส่วนทิศทางของค่าเงินบาท คาดว่าคงจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเมื่อใด ต้องดูสถานการณ์ก่อน
กสิกรฯระบุใช้ยาแรงเกินคาด
นายพิศาล มโนลีหกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวถึงมาตรการของธปท.ที่ให้มีการกันสำรองเงินจากต่างประเทศจำนวน 30%ว่า หลังจากที่ธปท.ประกาศใช้มาตรการดังกล่าวเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา ผลที่ปรากฏออกมาก็คือมาตรการที่ใช้แรงเกินไปโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อนทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงมาก ทางการจึงยอมที่ถอยออกมาก้าวหนึ่งโดยการยกเว้นเงินที่นำเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องกันสำรอง 30%ตามมาตรการของธปท. ซึ่งเป็นการปรับมาตรการที่ใช้ให้อ่อนลง ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นวานนี้
"มาตรการที่ออกมาเมื่อวันจันทร์เป็นยาที่แรงเกินไปอย่างไม่ได้มีใครคาดคิดว่าเกิดผลที่รุนแรงขนาดนั้น แบงก์ชาติก็ยอมถอยก้าวหนึ่งแต่เป็นการถอย ไม่ใช่การยูเทิร์น คือไม่ได้ยกเลิกมาตรการ ยังใช้มาตรการอยู่แต่ปรับยาให้อ่อนลงเท่านั้น ซึ่งก็ได้ผลดี ตลาดหุ้นปรับขึ้นมา 60 จุด ก็ประมาณครึ่งหนึ่งของที่ลดลงไปวันก่อน ซึ่งก็จะต้องดูในรายละเอียดอีกว่าการปรับขึ้นนั้นเป็นการกลับเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติ หรือนักลงทุนไทยเล่นกันเอง เพราะช่วงนี้ต่างชาติอาจจะยังกล้าๆกลัวๆอยู่"นายพิศาลกล่าว
อย่างไรก็ตาม การที่ธปท.ปรับท่าทีผ่อนคลายมาตรการกันสำรองฯนั้น ถือว่าต้องชมในความกล้าหาญของธปท.ที่เมื่อรู้ว่าผลของมาตรการที่ออกมาเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงเกินไป ก็ตัดสินใจที่ถอยออกมา โดยต้องยอมรับว่าการดำเนินมาตรการของธปท.วันก่อนนั้น ไม่ได้หารือกับทางตลาดหลักทรัพย์หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ทำให้ผลที่ออกมาค่อนข้างรุนแรง ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความตื่นตระหนก
"ส่วนกรณีที่มีหลายฝ่ายมองว่าการปรับมาตรการดังกล่าวจะทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในธปท.นั้น ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ซึ่งความเชื่อมั่นน่าจะเป็นผลมาจากนโยบายของธปท.ซึ่งหากธปท.มองว่ามาตรการนี้น่าจะแก้ปัญหาได้ แต่เมื่อใช้แล้วเกิดผลเสียมาก ก็สามารถปรับยูเทิร์นได้ แต่อีกฝ่ายอาจจะมองการเมื่อยูเทิร์นแล้วจะเกิดผลเสียเรื่องความเชื่อมั่นมากกว่า นั่นขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนมากกว่า"กรรมการผู้จัดการ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยกล่าว
คาดหากบาทยังแข็งธปท.ลดดอกเบี้ย
สำหรับเงินบาทนั้น ก็ได้ปรับตัวอ่อนค่าลงมาระดับหนึ่งหลังจากออกมาตรการดังกล่าวมาแล้ว แต่ก็คงจะดูการเคลื่อนไหวอีกระยะหนึ่งเนื่องจากเพิ่งเริ่มใช้ นักลงทุนอาจจะอาจจะยังรอดูธปท.ว่าจะมีมาตรการออกมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่
นายพิศาลกล่าวว่า เรื่องของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมา โดยมีสัดส่วนการแข็งค่ามากกว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคนั้น ก็มักจะมีคำถามออกมาทำไมธปท.ไม่ปรับดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งในเรื่องนี้เข้าใจว่าธปท.น่าจะประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยของประเทศในภูมิภาคก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน หากลดดอกเบี้ยครั้งแรกแล้วไม่ได้ผลก็เกรงว่าอาจจะต้องลดอีกหลายครั้ง ขณะที่ปัจจัยด้านเงินเฟ้อแม้ว่าจะขยับลดลง แต่ก็ยังไม่น่าไว้วางใจนักจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังมีโอกาสปรับขึ้น จึงทำให้ธปท.ยังยืนยันที่ตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ก่อน
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากมาตรการกันสำรองฯที่ธปท.ใช้ครั้งนี้ ยังไม่สามารถกดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้ เชื่อว่าธปท.จะต้องหันมาพิจารณาใช้มาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างแน่นอน
ส่วนแนวโน้มเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้นั้น ไม่น่าจะมีความเคลื่อนไหวที่ผันผวนมากนัก คงจะแกว่งตัวอยู่ระหว่าง 35.50-36.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่หลายๆฝ่ายก็มองว่าตัวเลขเงินบาทที่ระดับ 36.00-37.00 บาทน่าจะเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย รวมทั้งในด้านของผู้ส่งออกด้วย
"Level ที่ 36-37 บาทต่อดอลลาร์ น่าจะเป็นที่ถูกใจของทุกฝ่าย แต่ถ้าจะให้อ่อนลงไปถึง 38-39 บาทคงเป็นเรื่องยาก ขณะที่หากแข็งค่าขึ้นไปถึงระดับ 35 บาทต้นใกล้จะแตะ 34 บาทก็เป็นระดับที่ผู้ส่งออกเดือดร้อนมาก จึงน่าต้องหาระดับที่ส่งผลดีต่อทุกฝ่าย"นายพิศาลกล่าว
มั่นใจธปท.ใช้มาตรการถูกทางแล้ว
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า มาตรการที่ธปท.ได้ประกาศออกมาเพื่อใช้สกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทว่าเป็นมาตรการที่เชื่อว่า ธปท. ได้ดำเนินการมาชัดเจนและการใช้มาตรการนี้เป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนมากในการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท เนื่องจากธปท.มีความต้องการให้เงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนเป็นเงินทุนระยะยาวไม่ใช่เงินทุนระระสั้น โดยหากเปรียบเทียบกับมาตรการอื่นๆ เช่น การลดดอกเบี้ยก็อาจจะเป็นการส่งสัญญาณไม่ตรงจุด เนื่องจากการลดดอกเบี้ยนั้นมีเจตนารมณ์เพื่อผ่อนคลายนโยบายเงินเฟ้อ ซึ่งการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยอาจจะไม่ตรงจุดเมื่อเทียบกับการใช้มาตรการควบคุมที่เป็นมาตรการที่ส่งสัญญาณตรง
“มาตรนี้ถือเป็นมาตรการที่ธปท.ทำตรงจุดที่สุดแล้ว ซึ่งหากเปรียบเทียบกับมาตรการการลดอัตราดอกเบี้ยก็จะเป็นการแก้ไขที่ไม่ตรงจุด เพราะการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อเป็นการผ่อนคลายนโยบายเงินเฟ้อมากกว่า” นายธนวรรธน์ กล่าว
ทั้งนี้ หลังจากที่ธปท.ได้ประกาศกฎดังกล่าวออกมากลับส่งผลกระทบกระเทือนมายังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ได้รับแรงกดดันปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง ซึ่งยอมรับว่าปฏิกิริยาตอบสนองของตลาดหุ้นมีสูง แต่หลังจากธปท.ได้ประกาศผ่อนคลายกฎลงไป ส่งผลให้มีการเปลี่ยนประเด็นตลาดหุ้นไทยมีแนวทางป้องกันดูแลการเก็งกำไรได้ โดยเห็นได้ชัดเจนจากวานนี้ (20 ธ.ค.) ตลาดหุ้นเริ่มฟื้นกลับเข้ามาสู่ภาวะที่ดีขึ้น มีมูลค่าการซื้อขายก็กลับมาค่อยข้างมาก ซึ่งหมายความว่านักลงทุนส่วนหนึ่งเริ่มกลับมามั่นใจ ขณะที่ค่าเงินบาทก็ยังทรงตัวอยู่ที่ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอ่อนตัวลงจาก 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงแรกๆ แต่ต้องยอมรับว่าค่าเงินบาทแข็งตัว 35.9บาทต่อดอลลาร์สหรัฐมาแตะที่ระดับ 35.6 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหมายความว่ามาตรการนี้มันไม่สามารถทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลงได้อย่างที่ตังใจ เงินบาทยังกลับมาแข็งอีกเล็กน้อย
“ถ้าโดยเปรียบเทียบมาตรการนี้ถือว่าเป็นมาตรการที่ใช้ได้ทำให้บาทกลับมาอ่อนจาก 35.6 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐมาอยู่ที่ 35.9 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และก็ทำให้ตลาดหุ้นไม่ได้รับผลกระทบ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะต้องดูคือมาตรการได้ส่งสัญญาณอะไรให้กับนักลงทุน และได้ส่งสัญญาณทางจิตวิทยาว่าธปท.ต้องเข้ามาดูแลเรื่องนี้”นายธนวรรธน์ กล่าว
เชื่อค่าบาทปีหน้าไม่ต่ำกว่า 34.5 บาทต่อดอลลาร์
นอกจากนี้ เชื่อว่ามาตรการที่ธปท.ประกาศผ่อนคลายออกมาจะยังส่งผลกระทบบ้าง ต่อนักลงทุนต่างประเทศบางส่วนที่ยังอาจขาดความมั่นใจในแนวนโยบายของไทย แล้วทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งชะลอการลงทุนในไทย แต่แนวนโยบายดังกล่าวก็เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ทำให้ค่าเงินบาทไม่แข็งตัวเร็ว ซึ่งหากมองในภาพรวมเป็นนโยบายที่ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่ของการดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งเร็วเกินไป
“มาตรการนี้อาจมีผลกระทบกระเทือนบ้างทำให้นักลงทุนต่างประเทศบางส่วนอาจจะไม่มั่นใจในนโยบาย โดยรวมคงต้องใช้เวลาสักช่วงหนึ่งสำหรับประเมินมาตรการดังกล่าว ถ้ามีอะไรในเรื่องของการปรับปรุงเพิ่มเติมเชื่อว่า ธปท.จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง”นายธนวรรธน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังจากธปท.ใช้มาตรการผ่อนคลายแล้วเชื่อว่าแนวโน้มค่าเงินบาทในปีหน้าตัวน่าจะยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากในปีหน้าแนวโน้มค่าเงินในภูมิภาคเอเชียก็มีแนวโน้มสูงขึ้น ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐก็น่าจะมีทิศทางอ่อนค่าลง ซึ่งเชื่อว่าบรรยากาศเหล่านี้จะทำให้ค่าเงินบาททรงตัวแข็งค่าขึ้น แต่ในส่วนของมาตรการของธปท.ที่ออกมานั้นคงจะไม่ได้ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าต่ำกว่า 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ ดังนั้นกรอบที่จะเคลื่อนไหวได้น่าจะอยู่ที่ระดับ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปีหน้า ประกอบกับมีความเป็นไปได้ที่ทิศทางของเศรษฐกิจไทยมีมูลค่าของการส่งออกทีไม่เพิ่มมากนักซึ่งการที่ภาคการส่งออกไม่ขยายตัวมากก็จะค่อยๆ คลายให้เงินบาทอ่อนค่าลงมา แม้การว่าการออกมาตรการการเก็งกำไรค่าเงินบาทจะไม่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งเร็วขึ้น หรือทำให้ค่าเงินบาทอ่อได้แต่เชื่อว่าเงินทุนที่ไหลเข้ามาอาจเป็นเงินทุนที่ไหลเข้ามาระยะยาวจริงๆ เพราะฉะนั้นทิศทางของค่าเงินบาทก็น่าจะแข็งตัวเล็กน้อยแต่ไม่มากน่าโดยในช่วงครึ่งแรกของปีน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบที่ไม่น่าจะต่ำไปกว่า34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
|
|
|
|
|