"เบเยอร์" หวังขึ้นแท่นเบอร์ 1 ภายใน 4 ปี ชี้ต้องมีแชร์ไม่ต่ำกว่า 40% จากมูลค่าตลาดรวม 1.2 หมื่นล้านบาท ปีนี้คาดยอดขาย 1,800 ล้านบาท ปีหน้าเปิดตัวเครื่องผสมสีอัตโนมัติประเดิม 50 แห่งทั่วประเทศ ล่าสุดเปิดตัวสีใหม่เบเยอร์ คูล สีทาบ้านเกรดกลาง-บน กันความร้อนรายแรก
นาย วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เบเยอร์ เปิดเผยว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาบริษัทใช้งบการตลาดไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท ในการสร้างแบรนด์สีเบเยอร์ให้เป็นที่รู้จัก จากก่อนหน้านี้จะรู้จักในแบรนด์สียูนีเทน สีทาไม้ โดยในปีนี้และปีหน้าจะใช้งบประมาณอีกไม่ต่ำกว่า 130 ล้านบาท ทำการตลาดเพื่อให้เป็นที่รับรู้มากขึ้น และตั้งเป้าว่าในอีก 4 ปีข้างหน้าจะขึ้นแท่นอันดับหนึ่งของตลาดสี จากปัจจุบันอยู่ในตลาดอันดับ5
สำหรับในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้ 1,500 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะมียอดขาย 1,800 ล้านบาทหรือเติบโต 15% โดยเป็นสีทาอาคาร 60% และสีทาไม้ 40% ส่วนปีหน้าตั้งเป้าการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท ขณะที่อัตราการเติบโตของตลาดสีโดยรวมคาดว่าจะอยู่ที่ 5% จากปีที่แล้วหรือมีมูลค่าตลาดรวม 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสีทาอาคาร 85% สีทาไม้ 15% โดยในส่วนของสียูนีเทน ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 สีทาไม้ที่ 40%
ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ สีเบเยอร์ คูล สีทาบ้านกันความร้อนรายแรกในเมืองไทย ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะของเบเยอร์ ที่ผสมไมโครเซรามิกด้วยคุณสมบัติพิเศษ สามารถเป็นฉนวนกันความร้อนได้เป็นอย่างดี และช่วยสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ 94.2% ทั้งนี้นับว่าเป็นนวัตกรรมสีกันความร้อนใหม่ที่มีหลากสี จากเดิมที่ผ่านมาสีกันความร้อนที่นำเข้ามาส่วนใหญ่เป็นสีขาว ที่มีความสามารถในการกันความร้อนได้สูงสุด โดยส่วนใหญ่จะใช้ทาหลังคาโรงงาน ทำให้มีข้อจำกัดเรื่องการออกแบบมีข้อจำกัดเรื่องสี
โดยในปีแรกที่ทำตลาดบริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 600,000 แกลลอน หรือประมาณ 200 ล้านบาท เบเยอร์ คูล มีราคาเฉลี่ยที่ 1,250 - 2,000 บาทต่อถัง ขนาด 5 แกลลอน โดยมี 2 สูตร ได้แก่ เบเยอร์ ชิล และเบเยอร์ ซุปเปอร์
นอกจากนี้ บริษัท ยังเตรียมเปิดตัวเครื่องผสมสีอัตโนมัติควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อติดตั้งไปยังร้านค้าสีและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศประมาณ 50-60 เครื่อง ใช้งบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท และในปี 2550 บริษัท จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างน้อย 3 รายการ ทั้งสินค้าใหม่ระดับกลาง-พรีเมียม และสีทาไม้ ในปีหน้า
นายวรวัฒน์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่บริษัทได้เริ่มทำการตลาด เบเยอร์ คูล ในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากในช่วงเดือนมีนาคมจะเป็นช่วงฤดูกาลของสี ดังนั้นการทำตลาดในช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่เหมาะในการสร้างความรับรู้ให้แก่ผู้บริโภคล่วงหน้า อย่างไรก็ตามแม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะมีอัตราการเติบโตน้อย แต่ตลาดสียังมีทั้งตลาดบ้านใหม่และตลาดซ่อมแซมบ้าน ซึ่งสินค้าของบริษัทมีทั้งสองรูปแบบ จึงเชื่อว่าจะสามารถขยายการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้สีเบเยอร์คูล ได้วางตลาดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา โดยผ่านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 2,000 ราย
"ภาพรวมของเบเยอร์พยายามตอบโจท์และเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคให้มากที่สุดในระยะยาว โดยเริ่มตั้งแต่การสร้างแบรนด์ จากเดิมจะรู้จักในสีทาไม้แต่ความจริงเราคือผู้ผลิตสีที่มีนวัตกรรม การทำตลาดต่อไป นอกจากผู้ใช้ทั่วไปแล้วยังจะมุ่งเน้นกลุ่มสถาปนิก ส่วนในระยะยาวนอกจากการเพิ่มกำลังการผลิตจะให้ความสำคัญกับระบบโลจิสติกส์" นายวรวัฒน์กล่าว
|