Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน21 ธันวาคม 2549
ฝรั่งทิ้งหุ้นสวนทางกองทุน อุ้มนักลงทุน จ้องฟ้อง"อุ๋ย-ธาริษา"             
 


   
search resources

Stock Exchange




นักลงทุนต่างชาติ ไม่เชื่อยาหอมรมว.คลัง "หม่อมอุ๋ย" ที่ประกาศผ่อนคลายมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงิน กระหน่ำทิ้งหุ้นต่อ ยอดขายสุทธิเกือบ 2.9 พันล้านบาท ขณะที่สถาบันดอดเก็บเข้าพอร์ตเพิ่มเกือบหมื่นล้าน ดันดัชนีพุ่งเฉียด 70 จุด หุ้นบิ๊กแคป"พลังงาน - แบงก์ - อสังหา" เริงร่า ปรับขึ้นกันถ้วนหน้า ขณะที่มาร์เกตแคปที่หายไปยังเรียกกลับมาได้ไม่หมดเหลืออีกเกือบ 2.9 แสนล้าน "ภัทรียา" หวัง MSCI ไม่ถอด SET ออกจากการคำนวณดัชนีหลังสถานการณ์คลี่คลายขึ้น ด้าน "เอกยุทธ อัญชันบุตร" หารือทนายเตรียมสรุปฟ้อง "หม่อมอุ๋ย-ธาริษา" ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบก่อนเที่ยงวันนี้

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาประกาศผ่อนปรนมาตรการในการสกัดกั้นการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินในส่วนของเงินที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ และเงินที่นำเข้ามาลงทุนโดยตรง หรือ Foreign Direct Investment ส่งผลทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นทุกกลุ่มค่อนข้างมากหลังตลาดหุ้นปรับตัวลดลงกว่า 108 จุดเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยเปิดตลาดวานนี้ (20 ธ.ค.) ที่ 637.73 จุด เพิ่มขึ้น 15.19 จุด ก่อนจะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจนดัชนีปิดที่ 691.55 จุด เพิ่มขึ้น 69.41 จุด หรือ 11.16% มูลค่าการซื้อขาย 55,217.89 ล้านบาท

ด้านนักลงทุนต่างชาติยังกระหน่ำขายเป็นวันที่ 2 โดยล่าสุดขายสุทธิเพิ่ม 2,870.67 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 9,750.36 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 6,879.69 ล้านบาท

ทั้งนี้ หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรกเป็นหุ้นที่มีมาร์เกตแคปสูงของตลาดหุ้นไทย ประกอบธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL ราคาปิดที่ 111 บาท เพิ่มขึ้น 8 บาท หรือ 7.77% มูลค่าการซื้อขาย 4,821.03 ล้านบาท, บมจ.ปตท. หรือ PTT ราคาปิดที่ 216 บาท เพิ่มขึ้น 30 บาท หรือ 16.13% มูลค่าการซื้อขาย 3,973.04 ล้านบาท

ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ราคาปิดที่ 61.50 บาท เพิ่มขึ้น 8 บาท หรือ 14.95% มูลค่าการซื้อขาย 3,839.39 ล้านบาท, ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK ราคาปิดที่ 64.50 บาท เพิ่มขึ้น 7 บาท หรือ 12.17% มูลค่าการซื้อขาย 2,497.17 ล้านบาท, บมจ.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP ราคาปิดที่ 97 บาท เพิ่มขึ้น 12 บาท หรือ 14.12% มูลค่าการซื้อขาย 2,475.91 ล้านบาท

สำหรับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เกตแคป วานนี้ อยู่ที่ 5.16 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3 แสนล้านบาท หรือ 11.44% จาก 4.63 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยหากพิจารณาจากมูลค่ามาร์เกตแคปที่ปรับตัวลดลงของวันที่ 19 ธ.ค.เมื่อเทียบกับวันที่ 18 ธ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 8.17 แสนล้านบาท เท่ากับว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของมาร์เกตแคปวานนี้ยังต่ำกว่ามูลค่ามาร์เกตแคปที่ปรับตัวลดลงไปถึง 2.87 แสนล้านบาท

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การยกเลิกมาตรการควบคุมการเก็งกำไรค่าเงินในส่วนของเงินที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดทุนของทางการส่งผลทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง เพราะนักลงทุนต่างชาติได้คลายความกังวลไปบ้างแล้ว

ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 ธ.ค.การปรับตัวลดลงกว่า 8 แสนล้านบาทของมูลค่ามาร์เกตแคปตลาดหลักทรัพย์ คงเป็นเรื่องที่ยากที่จะตอบว่าเม็ดเงินในจำนวนดังกล่าวจะกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยครบอีกครั้งเมื่อไหร่ โดยในขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการประสานงานกับบริษัทหลักทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันให้ข้อมูลกับนักลงทุนเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทย

นอกจากนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นการปรับตัวลดลงของดัชนีกว่า 108 จุด ส่งผลทำให้ค่าพี/อี เรโช ของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 7.39 เท่า จากก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 9 เท่า โดยอดีตที่ผ่านมาพี/อี เรโซ ตลาดหุ้นไทยเคยปรับตัวลดลงไปแตะที่ 6.98 เท่าเมื่อช่วงปี 2542 ที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันค่าพี/อี เรโซ ของตลาดหุ้นไทย ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในภูมิภาค

"สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า แม้จะมีการขายของนักลงทุนต่างชาติกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท แต่นักลงทุนรายย่อยในประเทศกลับมีการซื้อสุทธิเข้ามาถึง 2.8 หมื่นล้านบาท สะท้อนว่านักลงทุนในประเทศยังเชื่อมั่นพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย รวมทั้งมาตรการระบบ Circuit breaker ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ใช้เป็นครั้งแรกไม่มีปัญหาต่อระบบการซื้อขาย" นางภัทรียา กล่าว

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ามาตรการอื่นๆ หลังจากนี้ คงไม่มีผลกระทบต่อตลาดทุนเท่ามาตรการนี้ เนื่องจากคงไม่มีมาตรการที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดเงินได้เท่ากับมาตรการที่ประกาศใช้ในครั้งนี้

นางภัทรียา กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ กับบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ เพื่อเสนอให้มีการแยกบัญชีและเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่นำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งจะทำให้ ธปท. ทราบประเภทของเงินที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเบื้องต้นผู้รับฝากหลักทรัพย์ (คัสโตเดียส) จำนวน 27 ราย จะมีการสรุปและนำส่งข้อมูลตัวเลขการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเป็นรายสัปดาห์ โดยน่าจะเริ่มส่งข้อมูลได้ในสัปดาห์หน้า

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ได้ให้คำยืนยันว่าจะทำการแยกบัญชีการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติที่ไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย (Non-resident) ซึ่งครอบคุลมถึงการลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดอนุพันธ์ และเงินลงทุนใน IPO หรือการซื้อหุ้นที่มีการเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก

เชื่อ MSCI ไม่ถอดSET

นางภัทรียา กล่าวถึง กระแสข่าวที่ระบุว่าสถาบันการจัดอันดับสถาบันจัดอันดับ Morgan Stanley Capital International หรือ MSCI และ Standard & Poors หรือ S&P อาจจะมีการพิจารณาปรับลดน้ำหนักการลงทุน รวมถึงการถอดตลาดหุ้นไทยออกมาจากคำนวณดัชนีว่า ขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงมีการผ่อนปรนมาตรการที่ใช้กับตลาดทุนจึงไม่น่าที่จะทำให้มีการถอดตลาดหุ้นไทยออกจากการคำนวณดัชนี

"เราหวังว่าไม่น่าจะมีการถอดตลาดหุ้นไทยจากการคำนวณดัชนีเพราะมาตรการที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อตลาดทุนทางหน่วยทางการก็ได้มีการผ่อนปรนไปเรียบร้อยแล้ว"นางภัทรียา กล่าว

ส่วนเรื่องแผนพัฒนาตลาดทุนไทย นางภัทรียา กล่าวว่า แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบค่อนข้างรุนแรงต่อตลาดทุนแต่ยังไม่มีแผนที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนงานในช่วง 3-5 ปีนี้

นางอัศวินี ไตลังคะ กรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ พอใจกับการยกเลิกมาตรการในการสกัดกั้นเงินลงทุนที่จะเข้ามาในตลาดหุ้น ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ คงไม่มีการเสนอมาตรการใดๆ ให้กับธปท. เพิ่มเติม

ทั้งนี้ เชื่อว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นเพียงผลระยะสั้นๆ เท่านั้น ในระยะยาวสถานการณ์ทุกอย่างน่าจะคลี่คลาย แต่นักลงทุนบางส่วนยังมีความไม่มั่นใจต่อการเข้ามาดูแลของธปท.ว่าในอนาคตจะมีมาตรการใดที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนอีกหรือไม่

ไม่กระทบยอดบริษัทใหม่

นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัทที่เตรียมจะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงปีหน้า เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นคงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นแค่เพียงช่วงสั้นๆเท่านั้น

"การตัดสินจะเข้ามาจดทะเบียนหรือไม่ ผู้บริหารของบริษัทต่างๆ จะต้องประเมินสถานการณ์ประกอบอีกครั้ง โดยตลาดหลักทรัพย์ไม่มีมาตรการที่จะเร่งรัดให้มีการรีบนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนอย่างแน่นอน เนื่องจากจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์และผลกระทบของแต่ละบริษัทเอง"

สำหรับการลงทุนของกองทุนต่างๆ เชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบในระยะยาว เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศในตอนนี้ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนก็น่าจะมีการเติบโตได้เช่นกัน โดยถือว่าช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีที่นักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น

แหล่งข่าวนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ความกังวลในเรื่องการบังคับขายหลักทรัพย์หลังจากราคาหุ้นในวันที่ 19 ธ.ค.ปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมากเริ่มคลี่คลายไปในระดับที่ไม่น่าเป็นห่วงเนื่องจากราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในวันนี้ทำให้หุ้นหลายบริษัทที่อยู่ในกลุ่มที่จะต้องถูกบังคับขายเนื่องจากสัดส่วนการลงทุนเมื่อเทียบกับการกู้ต่ำกว่าเกณฑ์กลับมาอยู่ในระดับที่ไม่ต้องมีการเพิ่มหลักทรัพย์

"มีหุ้นบางบริษัทที่ถูกบังคับขายในวันนี้ แต่ถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับความตกใจจากราคาที่ปรับตัวลดลงในวันที่ 19 ธ.ค. และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้น่าจะสะท้อนให้ถึงความเสี่ยงทั้งของนักลงทุนที่กู้เพื่อซื้อหลักทรัพย์และบริษัทหลักทรัพย์ที่มีการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากหากเกิดสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นก็อาจจะยากที่จะประเมินได้"

CS รับออเดอร์ตปท.ขายเยอะสุด

ในส่วนของอันดับการซื้อขายของบริษัทหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมาพบว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่มีมูลค่าการขายสุทธิสูงสุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีฐานลูกค้าเป็นนักลงทุนต่างชาติ คือ บล.เครดิตสวิส (ประเทศไทย) มียอดขายสุทธิ 3,567.62 ล้านบาท, บล.ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) มียอดขายสุทธิ 3,022.25 ล้านบาท, บล.ไทยพาณิชย์ มียอดขายสุทธิ 2,911.99 ล้านบาท, บล.ยูบีเอส (ประเทศไทย) มียอดขายสุทธิ 2,792.87 ล้านบาท และบล.ภัทร มียอดขายสุทธิ 1,513.37 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ที่มียอดซื้อสุทธิสูงสุด ที่ส่วนใหญ่มีฐานลูกค้าเป็นนักลงทุนรายย่อย คือ บล.เอเชีย พลัส มียอดซื้อสุทธิ 1,956.62 ล้านบาท, บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มียอดซื้อสุทธิ 1,791.07 ล้านบาท, บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) มียอดซื้อสุทธิ 1,206.31 ล้านบาท, บล.ซีมิโก้ มียอดซื้อสุทธิ 1,051.52 ล้านบาท และบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) มียอดซื้อสุทธิ 936.62 ล้านบาท

"เอกยุทธ"นำร่องฟ้อง "อุ๋ย"

นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหาร เครือโอเรียลเต็นมาร์ทกรุ๊ป เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้หารือกันทีมทนาย เพื่อหาช่องทางในการฟ้องม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธปท. ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งจะสามารถสรุปรายละเอียดภายเวลา 12 00 น. วันนี้ (21 ธ.ค.) โดยจะเป็นการฟ้องในนามส่วนตัว แต่อาจจะมีนักลงทุนต่างประเทศบางรายที่เสนอตัวร่วมฟ้องด้วย

สำหรับสาเหตุที่ต้องออกมาแสดงท่าทีในครั้งนี้นั้น นายเอกยุทธ กล่าวว่า เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากและตนเองในฐานะนักลงทุนได้รับผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนมาตรการสกัดเก็งกำไรแบบรายวันของทางการ แม้ว่าจะระบุว่ามาตรการดังกล่าวออกมาเพื่อสกัดการเก็บกำไรค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง แต่ควรจะประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับนักลงทุน ไม่ใช่มองเพียงแค่กลุ่มผู้ส่งออกแค่กลุ่มเดียว

"ทางการต้องคิดให้รอบคอบ เพราะกลุ่มผู้ส่งออกเกรงว่าอาจจะส่งผลต่อการส่งออก ไม่ได้หมายความว่าจะส่งออกไม่ได้ และผมมั่นใจการปรับเปลี่ยนมาตรการไปมาในครั้ง น่าจะมีคนได้รับผลประโยชน์ ซึ่งหากให้มีการตรวจสอบคงจะพบกลุ่มที่ได้รับประโยชน์อย่างแน่นอน"   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us