Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน21 ธันวาคม 2549
บิ๊กBEXตอกย้ำเกณฑ์ธปท.พลาดฉุดมูลค่าตราสารหนี้วูบ3.2หมื่นล.             
 


   
search resources

Bond
สันติ กีระนันทน์




ผู้จัดการตลาดตลาดตราสารหนี้ โต้มาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินแบงก์ชาติ กระทบตลาดตราสารหนี้ระยะยาวมากกว่าระยะสั้น เตรียมรวบรวมข้อมูลให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตัดสินใจว่าจะต้องเสนอแนวทางแก้ปัญหาต่อธปท.หรือไม่ภายในสัปดาห์นี้ ระบุยากที่หาคนรับผิดชอบ หวังเพียงการออกมาตรการจากภาครัฐให้ความสำคัญกับทุกฝ่ายร่วมเสนอข้อมูล ด้าน ThaiBMA เผยมาตรการแก้ปัญหาไม่ถูกที่ ฉุดมูลค่าตราสารหนี้ ณ 19 ธ.ค.วูบ 3.2 หมื่นล้าน ขณะที่ผู้บริหาร "ตลาดอนุพันธ์" มั่นใจนักลงทุนต่างชาติไม่โยกเงินหนี หลังธปท.ผ่อนกฏเหล็ก

นายสันติ กีระนันทน์ ผู้จัดการตลาดตราสารหนี้ หรือ BEX กล่าวถึง มาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีจุดประสงค์ต้องการสกัดกั้นการเข้ามาเก็งกำไรในตราสารหนี้ระยะสั้น ว่า จากการตรวจสอบข้อมูลยังไม่สามารถได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า การไหลเข้ามาของเม็ดเงินจากต่างประเทศเป็นการเข้ามาเก็งกำไรในตลาดเงินโดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้

ทั้งนี้ ภายในสัปดาห์นี้จะรวบรวมปริมาณเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ว่าสอดคล้องกับปริมาณเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาในประเทศจนทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาหรือไม่ ก่อนจะสรุปเรื่องส่งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อพิจารณาสรุปว่าจะเสนอแนวทางแก้ปัญหาให้ธปท.หรือไม่

"เป็นที่น่าสังเกตว่ามาตรการธปท.ที่ต้องการป้องกันการเก็งกำรตราสารหนี้ระยะสั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังการใช้มาตรการกลับส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนของตราสารหนี้ประเภทระยะยาวมากกว่า โดยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 0.30-0.40% ทำให้ราคาตราสารหนี้ลดลง"

สำหรับมูลค่าตราสารหนี้คงค้างในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปี 49 อยู่ที่ 17,000-18,000 ล้านบาท ขณะที่ในช่วงเดือนพ.ย.ที่ผ่านมามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปรับขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท

"ช่วงต้นปีที่ผ่านมาทางการพยายามดึงเงินนอกเข้ามาในประเทศด้วยข้อเสนอต่างๆ เช่น การไม่ต้องเสียภาษีจากการลงทุน แต่มาตอนนี้กลับใช้มาตรการที่พยายามสกัดกั้นเงินนอกที่จะเข้ามาลงทุน ตอนนี้ผมเข้าใจว่าเค้าไม่แน่ใจว่าเราจะเอาอย่างไงกับเค้าแน่" นายสันติ กล่าว

นายสันติ กล่าวอีกว่า ความรับผิดชอบต่อกรณีดังกล่าวคงไม่สามารถระบุได้ว่าใครควรจะเป็นผู้รับผิดชอบเนื่องจากทางธปท.ได้มีการประเมินถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แต่คงไม่คาดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะก่อให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงกับตลาดทุนมากเพียงนี้ แต่หลังจากนี้อยากให้การหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการประสานงานมากขึ้น โดยควรจะให้ความสำคัญในการดึงหน่วยงานจากด้านตลาดทุน โดยเฉพาะสภาธุรกิจตลาดทุนไทยได้มีส่วนรวมในการเสนอถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย

ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนต่อ BEX วันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมาจะพบว่า นักลงทุนจำนวนมากหยุดการซื้อขายเพื่อประเมินสถานการณ์และรอความชัดเจนต่อมาตรการของภาครัฐว่าจะสรุปออกมาอย่างไร จึงทำให้ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ตรงข้ามกับตลาดหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายคึกคักขึ้นแต่ BEX มูลค่าการซื้อขายกลับลดลง

"เท่าที่ได้มีการพูดคุยกับดีลเลอร์หลายแห่ง พบว่ายังไม่มั่นใจต่อตลาดว่าจะไปในทิศทางไหนจึงทำให้เกิดช่องว่างของผลตอบแทนในตราสารหนี้ค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้การเทรดซื้อขายลดลง" นายสันติ กล่าว

ThaiBMAรับผลกระทบแรง

นายณัฐพล ชวลิตชีวิน กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า เหตุการณ์ในวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราผลตอบแทน (Yield) ในตลาดตราสารหนี้ของไทยปรับตัวขึ้นทันที โดยเส้น Yield curve มีการปรับตัวขึ้นสูงถึงกว่า 30 Basis point เป็นผลให้ราคาของตราสารหนี้ทั้งตลาดลดลง โดยเฉพาะตราสารหนี้ประเภทอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป ขณะเดียวกันดัชนีพันธบัตรรัฐบาล (Clean price index) เมื่อวันที่ 19 นั้นมาอยู่ที่ระดับ 97.16 ลดลงไป 1.36 จุด สำหรับตราสารหนี้กลุ่มที่ได้รับผลกระทบและมีราคาลดลงมากที่สุด คือ รุ่นที่มีอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไป

ทั้งนี้กลุ่มผู้ลงทุนที่ขายออกมามากที่สุดคือ กลุ่มนักลงทุนประเภทสถาบัน ในขณะที่กลุ่มนักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิทั้งสิ้นประมาณ 580 ล้านบาท

"มูลค่าตลาดตราสารหนี้ คิดเฉพาะในส่วนของพันธบัตรรัฐบาล ในวันที่ 19 นั้นลดลงไปทันทีประมาณ 32,000 ล้านบาทในวันเดียว นับเป็นผลกระทบที่ค่อนข้างแรงทีเดียว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องติดตามดูผลกระทบต่อไปอีกระยะหนึ่งว่า นักลงทุนจะผ่อนคลายความกังวลลงได้บ้างหรือไม่เพียงใด" นายณัฐพล กล่าว

นางสาวอริยา ติรณประกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานด้านกฎระเบียบและการกำกับดูแล ThaiBMA กล่าวว่า จากการสอบถามไปยังบรรดา Dealer ถึงผลกระทบและมาตรการที่ออกมานั้น ความคิดเห็นโดยรวมมองว่าบรรดามาตรการของธปท. ที่มีทยอยออกมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม - 19 ธันวาคมนั้น ดูเหมือนยังเป็นมาตรการที่เกาไม่ถูกที่คันนัก เพราะเมื่อดำเนินการออกมาแล้วกลับมีผลกระทบกับการลงทุนทั้งในส่วนของตลาดทุน และตลาดตราสารหนี้เป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ จุดประสงค์ต้องการที่จะให้เป็นมาตรการเพื่อควบคุมเงินเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าบรรดานักลงทุนระยะยาวในตลาด บรรดา Long-term investor ทั้งหลายกลับกลายเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบ

"จากข้อมูลในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนซื้อขายตราสารหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 2,200 ล้านบาท หรือ 14% ของการซื้อขายของตลาดทั้งหมด แต่หลังจากที่มีมาตรการของทางธปท. ออกมา ปรากฏว่าสัดส่วนการซื้อขายลดลงไปเหลือเพียงประมาณ 2% ต่อวันเท่านั้น ทำให้สภาพคล่องในตลาดลดลงด้วย" นางสาวอริยา กล่าว

ด้านนางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI กล่าวว่า หลังจาก ธปท. ได้ผ่อนปรนมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงิน ทำให้นักลงทุนต่างชาติคลายความกังวลและมีการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ต่อไปไม่มีการปิดสถานะการลงทุน จากเดิมที่มีความกังวลว่านักลงทุนต่างประเทศจะไม่ลงทุนต่อเนื่อง

"จากการผ่อนคลายมาตรการแล้ว ได้มีการสอบถามไปยังบริษัทหลักทรัพย์ที่มีลูกค้าเป็นนักลงทุนต่างประเทศ พบว่า นักลงทุนต่างประเทศจะมีการโลวโอเวอร์สัญญาต่อไป จากสัญญาเดือนธันวาคมที่จะหมดอายุก็จะไปลงทุนในสัญญาเดือนมี.ค.แทน โดยเชื่อว่าภาวะการลงทุนในตลาดอนุพันธ์กลับมาเหมือนเดิม และพอเปิดตลาดซื้อขายราคาซื้อขายชอง SET50 Index Futures ปรับตัวเพิ่มขึ้น"นางเกศรา กล่าวว่า

ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์จะกลับมาคึกคักจากการที่ธปท.ผ่อนปรนมาตรการ และจากการที่ในสัปดาห์สัญญาเดือนธันวาคมจะหมดอายุทำให้นักลงทุนจะต้องมีการปิดสัญญา ซึ่งขณะนี้มีสัญญาซื้อขายจำนวน 4,300 สัญญา เพื่อไปลงทุนในสัญญาเดือนมีนาคมแทน ซึ่งปกติแล้วในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของสัปดาห์จะมีปริมาณการซื้อขายคึกคักอยู่แล้ว และตลาดอนุพันธ์ยังคงดำเนินงานตามแผนเดิมยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

สำหรับความกังวลกับมาตรการขอธปท.ทำให้วันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมามีนักลงทุนมีการปิดสถานะทำให้จำนวนสัญญาคงค้างลดลง 218 สัญญา ทำให้สถานะคงค้างเหลือจำนวน 8,929 สัญญา จากวันจันทร์ที่18 ธันวาคม อยู่ที่ 9,147 สัญญา โดยปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ 8,505 สัญญา ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศมีการขายสุทธิ 22% นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 19% นักลงทุนทั่วไปมีการซื้อสุทธิ 59%

นางเกศรา กล่าวว่า จากปริมาณการซื้อขายจำนวนมากนั้นระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์สามารถที่จะรองรับได้ โดยในวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ตลาดอนุพันธ์มีการเรียกเก็บหลักทรัพย์ค้ำประกันกับบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกเพิ่มจำนวน 4-5 ราย รายละ 10 ล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us