"ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ ..... "
เสียง จักรพันธุ์ ยมจินดา บรรณาธิการข่าวช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ นั่งอ่านประกาศฉบับประวัติศาสตร์ของตัวเขาและประเทศไทยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เป็นช่วงเวลาที่คนไทยทั่วไปขนานนามให้ว่า พฤษภาทมิฬ (2535)
จากที่เขาเป็นผู้ที่คุ้นหน้าคุ้นตาของคนทั้งประเทศ ยิ่งเฉพาะตำแหน่งบรรณาธิการข่าวช่อง
7 ที่เรตติ้งสูงสุดขณะนั้นด้วยแล้ว ผู้คนย่อมเชื่อถือเป็นธรรมดา แต่ใครคงไม่หยั่งลึกว่า
แค่กระดาษ 2 ใบที่จักรพันธุ์อ่านไปในเดือนพฤษภาคมปีนั้น ได้ทำให้ชีวิตลูกผู้ชายเช่นเขาพลิกทั้งชีวิตอย่างที่เจ้าตัวยากจะลืมเลือน
เขาเดินออกจากกองกำลังรักษาพระนครมาที่ช่อง 7 สิ่งแรกเลยที่เขาคิดในช่วงนั้น
คือ ลาออกอย่างเดียว เพราะเขาคิดว่านี้คือความหมายของความรับผิดชอบหรือแสดงความว่าเขาไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาได้อ่านไป
แล้วก็เป็นอย่างที่เขาต้องการ
"ผมเคว้งอยู่พักนึงเลยหลังจากนั้น ยังไม่รู้จะทำอะไร ต่อมามีพรรคการเมืองติดต่อให้ลงสมัคร
ส.ส. หลายพรรค และปฏิเสธไปทุกพรรค พอวันนึงเพื่อนที่ระยองซึ่งเป็นประธานหอการค้า
และเรียนหนังสือที่ระยองมาด้วยกัน มาพร้อมคุณสุรพงศ์ ประธานพรรคประชาธิปัตย์
แวะมาหาที่บ้านที่กรุงเทพฯ ท่านนั่งกล่อมผมอยู่ครึ่งวัน ไป ๆ มา ๆ ก็เลยลองดูเพราะใจชอบพรรคนี้เป็นทุนอยู่แล้ว
แต่บอกได้เลยว่าไม่เคยคิดว่าจะมาเล่นการเมืองและไม่ได้เตรียมตัวทั้งกายทั้งทรัพย์สินเลย
ตั้งใจไว้แต่เด็กว่าจะทำงานพากย์หนังอยู่อย่างเดียว" จักรพันธุ์ ในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัท
พ้อยต์ออฟวิว เล่าความให้ฟัง
13 กันยายน 2535 การเลือกตั้งทั้งประเทศคึกคักมากยิ่งกับระยองถิ่นของจักรพันธุ์ด้วยแล้ว
กระแสนิยมของชาวบ้านได้มอบให้เขาถึง 107,926 คะแนน ซึ่งถือเป็นอันดับ 16
ของคะแนน ส.ส. ทั้งประเทศไทยช่วงนั้น และโชคไม่ดีสำหรับเพื่อนร่วมทีม 2 คนของเขา
เพราะสอบตก
6 เดือนแรกที่เขาได้เข้ามาทำงานเป็น ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎร เขายอมรับว่าทำงานอะไรไม่ถูกเลย
สิ่งหนึ่งที่เขานึกถึงอย่างเดียวคือ อยากแก้ ก.ม. เกี่ยวกับสื่อมวลชน เพราะความที่เป็นนักสื่อสารมวลชนตั้งแต่อยู่ช่อง
3 แล้วในช่วงเริ่มต้นชีวิตและก็ช่อง 7 ในช่วงล่าสุด ฉะนั้นเมื่อเริ่มรู้ลู่ทางว่าจะเริ่มอย่างไรและทำอย่างไรแล้ว
การเสนอให้มีการยกเลิก ปร. 15 ปร. 17 คือชิ้นแรกที่เขาทำ โดยยื่นเข้าสภาเมื่อ
7 ตุลาคม 2535 แต่เพิ่งผ่านรวดทั้ง 3 วาระหลังจากที่เขาเป็นผู้แทนไปแล้ว
2 ปี
และด้วยประสบการณ์จากการอ่านข่าวกีฬาจากช่อง 3 และอ่านข่าวที่ช่อง 7 ทำให้เขาอยากเข้าไปดูกีฬา
จนได้เป็นกรรมาธิการกีฬา และต่อสู้เรื่องกีฬามาตลอด พูดได้ว่า ช่วงของเขาคือช่วงที่การกีฬาถูกตรวจสอบมากที่สุดยุคหนึ่งของไทยเลยทีเดียว
"แต่เมื่อผมเริ่มจับทางได้ มันก็เริ่มท้อ คิดว่าเราไม่เหมาะกับการเมือง
ก็พูดกับคนในพรรคว่าคงเล่นสมัยเดียว ไปที่ไหนก็พูดเช่นนี้" จักรพันธุ์กล่าวพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
เหมือนว่ามีอะไรที่หนักมากที่คนจริงเช่นเขายังรับไม่ได้
ว่ากันว่า เรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกินกำลัง ส.ส. สมัยแรกเช่นเขาจะรับผิดชอบได้
ทั้งยังฤดูเด็กฝาก หรือฤดูทางสังคมต่าง ๆ ในช่วงนั้น ยังไม่นับปัญหาชาวบ้านอีกร้อยแปดพันเก้าที่ฝากความหวังไว้กับเขา
จนกระทั่งความรู้สึกและจิตใจรับไม่ไหว และประกอบกับเกิดเหตุวิกฤตศรัทธารัฐบาลชวน
หลีกภัย จากกรณี ส.ป.ก. 4-01 จนมีการยุบสภากันต่อมา การลาออกจากการเป็น ส.ส.
ของจักรพันธุ์เป็นไปอย่างที่ตั้งใจ แม้จะถูกทัดทานจากผู้ใหญ่ในพรรคหลายท่านก็ตาม
2 ปี 8 เดือนในชีวิต ส.ส. จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขายากจะลืมเลือน
แต่จักรพันธุ์ก็ยังวนเวียนช่วยงานให้พรรคอีกระยะหนึ่งและด้วยวิญญาณนักพากย์
นักอ่านข่าวฝังในส่วนลึกของเขา ทำให้ร้อนวิชา จึงวิ่งไปที่ช่อง 3 ที่ที่เขาคิดว่าพอมีศักยภาพสำหรับเขา
แต่ผู้ใหญ่ช่อง 3 ได้ให้เขาลาออกจากสมาชิกพรรคการเมืองก่อน ซึ่งด้วยความที่ตั้งใจจริงแล้วว่าจะเลิกการเมือง
จึงไม่มีปัญหา และได้ทำงานอ่านข่าวเป็นตัวหลักของช่อง 3 ตั้งแต่ 1 สิงหาคม
38 เป็นต้นมา
ด้วยประสบการณ์และเวลาที่พอจะมีทำให้เขาคิดที่จะเป็นเจ้าของของตนเอง จึงฟอร์มทีมงานขึ้นชุดหนึ่ง
ในชื่อ "บริษัท พ้อยต์ออฟวิว จำกัด" ด้วยความช่วยเหลือของผู้ใหญ่คนหนึ่ง
เป็นบริษัทผลิตรายการทุกอย่าง "ร็อคสปอร์ท" (8.30-9.00 เสาร์ช่อง
5) คือรายการกีฬาเดียวขณะนั้นที่บริษัททำได้ ซึ่งช่วงนั้นจักรพันธุ์ก็ไม่ได้มาลงแรงอย่างเต็มที่
เพราะรับงานพากย์หนังพากย์ละคร อ่านสปอตไปพร้อมกับอ่านข่าวด้วย จนรายการขาดทุนเขาจึงตัดสินใจทิ้งงานพากย์ลงมาช่วยบริษัทเต็มตัว
และเปลี่ยนเป็นรูปแบบรายการใหม่ชื่อ "ไลฟ์ทอล์ค" ในเวลาเดิม ชีวิตการทำงานของเขาจึงเป็น
2 เวลาคือ ครึ่งวันเช้าอยู่ที่บริษัทและช่วงบ่ายเข้าอ่านข่าวที่ช่อง 3
"ผ่านไป 2 เดือนจากรายการที่ขาดทุนอยู่ก็เริ่มมีกำไรบ้างแม้โฆษณาจะยังไม่เต็มก็ตาม"
จักรพันธุ์เล่า
สำหรับคอนเซ็ปต์รายการไลฟ์ทอล์คที่จักรพันธุ์คิดขึ้นนั้นเป็นการสัมภาษณ์คนร้อน
เรื่องร้อนในแต่ละสัปดาห์ ช่วงแรกพิธีกรคือตัวเขาจะเป็นคนถาม ช่วงหลังเปิดให้สายทางบ้านโทรเข้ามาถามแขกที่เชิญมา
ถึงแม้ว่ารูปแบบรายการดูจะคล้ายรายการอื่น ๆ ที่มีอยู่บ้างแล้วก็ตาม แต่ทั้งนี้อยู่ที่ประเด็นและบุคคลที่มาร่วมรายการและรวมทั้งการเปิดสายให้ทางบ้านได้โทรเข้ามาถามอย่างทันทีทันใด
แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่เป็นจุดสนใจเพียงพอเมื่อดูจากโฆษณาที่เข้ามาเพราะเวลาที่เขาได้มานั้นมันคือเวลาซึ่งเด็กจะตื่นมาดูการ์ตูน
ขณะที่ผู้ใหญ่ก็ยังหลับเต็มที่หลังจากทำงานมาทั้งอาทิตย์ ฉะนั้นเพื่อความอยู่รอดเขาจะต้องโปรโมตรายการตนเองให้มากและต้องไขว่คว้าเวลาที่เหมาะสมกว่านี้
"ตอนนี้ผมยังไม่อยากทำอะไรมาก ต้องการทำอะไรให้มั่นคงก่อนเป็นงานแรก
เมื่อเป็นดังที่ตั้งใจไว้ต่อไปก็คงทำอะไรมากขึ้น ทั้งผลิตสื่อ อาทิ ผลิตภาพยนตร์สารคดี
สไลด์มัลติวิชั่นหรือสิ่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ศักยภาพของบริษัทเราคิดว่าทำได้เพราะเราพร้อมทุกฝ่ายอยู่แล้ว
ฉะนั้นช่วงแรกนี้คงเป็นช่วงสร้างความมั่นคงก่อน แล้วจากนั้นค่อยมาว่ากันใหม่"
ส่วนการร่วมเป็นพันธมิตรกับเจ้าใหญ่เพื่ออาศัยฐานและช่องทางเติบใหญ่นั้น
จักรพันธุ์กล่าวว่า
"ทุกวันนี้ ตลาดผลิตรายการ เป็นไปลักษณะปลาใหญ่กินปลาเล็ก หากบริษัทเราเล็ก
ๆ มันก็จะถูกกลืนด้วยบริษัทใหญ่ ๆ มีทุนหนามาก ๆ แต่ผมคิดว่าถ้าเราบริหารงานเป็นมันก็ไปรอดโดยไม่ต้องพึ่งรายใหญ่
ๆ ได้เหมือนกัน ฉะนั้นผมจึงใช้สไตล์การทำงานแบบเพลย์เซฟ นั่นคือให้มีกำไรก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยมาว่ากัน"
แม้ว่าเขาแสดงถึงความไม่ประมาทในการดำเนินงาน แต่ประโยคสุดท้ายที่ว่า
"ตนเองไม่ห่วงเรื่องงานโปรดักชั่นเพราะถนัด แต่เป็นห่วงเรื่องเดียวคือการตลาด"
นี้นับว่าเป็นประโยคที่น่ากลัวเหมือนกัน สำหรับอนาคตพ้อยต์ออฟวิวของเขาหากทำไม่ได้ในเรื่องหลังแต่อีกนัยหนึ่ง
เมื่อเขามั่นใจเรื่องรูปแบบรายการของเขาละก็นั่นก็น่าจะถือว่าเป็นความสำเร็จได้เปราะหนึ่งแล้ว
รอเพียงได้เวลาที่เหมาะสมในการออกอากาศเท่านั้น และเมื่อการตลาดเขาทำได้บวกกับเวลาที่เหมาะสมและรูปแบบรายการแน่น
คำว่า "เสี่ยจักรพันธุ์" ก็คงจะไม่หนีไปจากเขาในอนาคต เช่นเดียวกับที่ได้เกิดขึ้นกับพิธีกรหรือนักพากย์หรือนักอ่านข่าวมาแล้วหลายคนในบ้านเรา