ประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทยกว่า 30 ปี ดัชนีดิ่งเหวกว่า 108 จุด ทุบสถิติเหตุการณ์ "911 - พฤษภาทมิฬ-แบล็กมันเดย์" ฉุดมาร์เกตแคปหายวับเกือบ 8.2 แสนล้านบาท หลังต่างชาติกระหน่ำขายสุทธิ 2.5 หมื่นล้านบาท วอลุ่มทะลักกว่า 7.2 หมื่นล้านบาท ประชดมาตรการสกัดเงินบาท "หม่อมอุ๋ย-ธปท." ขณะที่ระหว่างวันรูดต่ำสุดเกือบ 20% หรือ 142 จุด มาร์เกตแคปวูบกว่า 1 ล้านล้าน ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศหยุดการซื้อขายชั่วคราวเป็นครั้งแรก 30 นาที ตั้งแต่ใช้มาตรการดังกล่าว พร้อมเรียกทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือและเสนอทางแก้ให้ ธปท.ด่วนวันนี้ ส่วนโบรกเกอร์ต่างชาติ ปรับมุมมองตลาดหุ้นไทยเป็นลบ
สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศใช้มาตรการสกัดกั้นและคุ้มเข้มการเก็งกำไรค่าเงินบาท ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดหุ้นไทย โดยการปรับตัวลดลงของดัชนีวานนี้ถือว่ารุนแรงที่สุด และปริมาณการซื้อขายสูงสุดตั้งแต่เริ่มก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ มาตั้งแต่ปี 2518 โดยดัชนีตลาดหุ้นเปิดปรับตัวลดลงกว่า 65 จุดก่อนจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องกว่า 10% จนตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องใช้มาตรการพักการซื้อขาย (Circuit Breaker ) ชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที
ทั้งนี้ ภายหลังการเปิดตลาดในช่วงบ่ายดัชนียังคงปรับตัวลดลงจนปรับตัวต่ำสุดที่ระดับ 587.92 จุด ลดลง 142.63 จุด หรือ 19.52% ก่อนที่จะมีแรงซื้อเข้ามาจนทำให้ดัชนีสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 622.14 จุด ลดลง 108.41 จุด หรือ 14.84% ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 72,131.55 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 25,121.58 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,895.52 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 28,017.10 ล้านบาท
สำหรับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เกตแคป ปรับตัวลดลงจากวันที่ 18 ธ.ค. ซึ่งปิดที่ 5.450 ล้านล้านบาท โดยล่าสุดเมื่อวานนี้ 19 ธ.ค. มาร์เกตแคปอยู่ที่ 4.633 ล้านล้านบาท ลดลง 8.17 แสนล้านบาท แต่หากเทียบ ณ ดัชนีหุ้นต่ำสุดหรือลดลง 19.52% นั้น มาร์เกตแคปลดลงกว่า 1 ล้านล้านบาท
ส่วนหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ราคาปิดที่ 53.50 บาท ลดลง 20.74% มูลค่าการซื้อขาย 7.1 พันล้านบาท, บมจ.ปตท. หรือ PTT ราคาปิดที่ 186 บาท ลดลง 16.96% มูลค่าการซื้อขาย 7.05 พันล้านบาท, ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL ราคาปิดที่ 103 บาท ลดลง 16.26% มูลค่าการซื้อขาย 5.06 ล้านบาท, ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK ราคาปิดที่ 57.50 บาท ลดลง 18.44% มูลค่าการซื้อขาย 4.84 พันล้านบาท, ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB ราคาปิดที่ 10.90 บาท ลดลง 21.58%
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึง มาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ประกาศออกมาวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า เรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงกับตลาดหุ้นไทย ทำให้มีการขายหุ้นออกมาอย่างหนักจากนักลงทุนต่างชาติจนตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องใช้มาตรการ Circuit Breaker หรือ การหยุดการซื้อขายชั่วคราว ในช่วงเวลา 11.29 น. - 11.59 น.
ทั้งนี้ ตามข้อ 15 ของข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่องการซื้อขาย การชำระราคาและการส่งมอบหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2542 ระบุว่า เมื่อดัชนีปรับตัวลดลงเท่ากับหรือมากกว่า 10% ในแต่ละวันจะหยุดทำการซื้อขายชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที และระดับที่ 2 หากดัชนีปรับตัวลดลงมากกว่าหรือเท่ากับ 20% จะหยุดการซื้อขายชั่วคราวเป็นเวลา 1 ชั่วโมง
"การประกาศหยุดการซื้อขายชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที นับเป็นการใช้มาตรการดังกล่าวเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมาตรการดังกล่าว"
สำหรับความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการของธปท. ขณะนี้นักลงทุนจำนวนมากยังไม่เข้าใจว่ากระบวนการต่างๆ ที่จะใช้บังคับเกี่ยวกับการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท รวมถึงระยะเวลาที่ธปท.จะใช้มาตรการในการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ซึ่ง ธปท.จะต้องสร้างความชัดเจนในได้โดยเร็ว
ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เอง ได้มีการประสานงานเพื่อขอให้ธปท.มีการทบทวนในเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง โดยเสนอให้มีการแยกการดูแลระหว่างการเข้ามาเก็งกำไรในตลาดทุนและตลาดเงิน เพราะเรื่องดังกล่าวถือว่าส่งผลกระทบต่อนักลงทุนในวงกว้าง ขณะที่ธปท.ได้เรียกนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เข้าร่วมหารือเพื่อหาข้อสรุปในเรื่องดังกล่าว
"ประเมินจากตอนนี้ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยและพื้นฐานของบริษัทต่างๆ ยังถือว่าไม่เปลี่ยน นักลงทุนไทยรวมถึงสถาบันไทยที่ได้รับผลกระทบเพียงทางอ้อมเท่านั้นจึงไม่ควรที่จะตระหนกมากกว่าที่ควรจะเป็น" นางภัทรียา กล่าว
นางภัทรียา กล่าวอีกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในส่วนของเงินที่ถูกขายออกจากตลาดหุ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยง ซึ่งเชื่อว่าการตัดสินใจจะเข้ามาลงทุนของนักลงทุนในอนาคตจะใช้ความระมัดระวังที่จะลงทุนมากขึ้น โดยปัจจุบันสัดส่วนนักลงทุนต่างไทยที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 30%
เฮดจ์ฟันด์เก็บของกลับบ้าน
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลกระทบที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือการหยุดที่จะเข้ามาลงทุนของกองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) เนื่องจากนโยบายการลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงและไม่มีข้อจำกัดในการลงทุนทำให้ต้องหลีกเลี่ยงตลาดหุ้นที่ปิดกั้นการลงทุน โดยตัวเลขจากธปท.ในช่วงตั้งแต่เดือน ต.ค.ที่ผ่านมาพบว่ามีเงินต่างชาติเข้ามาถึง 30,000 ล้านบาทต่อสัปดาห์
ทั้งนี้ การสกัดกั้นการเก็งกำไรอาจจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก เพราะค่าเงินบาทอ่อนค่าลงค่อนข้างมาก แต่ผลกระทบที่รุนแรงเกิดขึ้นกับนักลงทุนทั่วไป
ก.ล.ต.อ้อนฝรั่งอย่าเร่งขาย
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า จากการหารือกับนักลงทุนต่างประเทศนอกจากจะกังวลกับมาตรการที่ธปท. ประกาศไปแล้ว ยังคาดว่า ธปท.จะมีมาตรการอื่นๆ ออกมาอีกในอนาคต จึงอยากขอให้นักลงทุนต่างประเทศชะลอการขายเพื่อรับฟังข้อเท็จจริงจาก ธปท. ให้ชัดเจนเสียก่อน มิฉะนั้นอาจเป็นการเสียโอกาสการลงทุนได้
"มาตรการเช่นนี้ หากสามารถแยกแยะให้มีผลควบคุมแต่เฉพาะแก่ผู้ที่นำเงินเข้ามาเก็งกำไรค่าเงิน โดยกันไม่ให้มีผลกระทบผู้ที่นำเงินมาลงทุนในหุ้นได้ก็จะดีกว่า เพราะผู้ที่นำเงินจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อต้องการเก็งกำไรค่าเงินเป็นหลักนั้น หากพักเงินดังกล่าวไว้ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ย่อมจะมีความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่ผันผวนมากกว่าที่จะกำไรจากค่าเงิน ดังนั้น ก.ล.ต. จึงจะลองศึกษาแนวทางหากจะสามารถยกเว้นเฉพาะตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อยกขึ้นหารือกับ ธปท. ต่อไป"
หุ้นร่วงหนักสุดเป็นประวัติการณ์
นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนิตี้ จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตลาดทุนถือว่ารุนแรงมาก และถือว่าเป็นการปรับตัวลดลงมากที่สุดรวมถึงมูลค่าการซื้อขายสูงสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ก่อตั้งมากว่า 30 ปี
"วันนี้จะมีการเรียกประชุมหน่วยงานทีเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น สำนักงาน ก.ล.ต. , สมาคมบริษัทหลักทรัพย์, สมาคมโบรเกอร์ต่างประเทศ, ตลาดหลักทรัพย์ฯ และผู้รับฝากและดูแลหลักทรัพย์ (คัสโตเดียส) ร่วมหารือเพื่อประเมินผลกระทบและหาข้อสรุปก่อนจะนำเสนอไปให้ธปท.อีกครั้ง"
สำหรับแนวทางเบื้องต้นที่ได้เสนอเพื่อให้ธปท.พิจารณา คือการแบ่งแยกเงินลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาเพื่อเก็งกำไรในตลาดเงิน กับเงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดทุนโดยเรื่องดังกล่าวสามารถตรวจสอบการนำเงินเข้ามาในประเทศได้เพื่อบรรเทาความวิตกกังวลว่าจะไม่สามารถนำเงินที่ลงทุนออกไปจากประเทศได้ โดยธปท.ได้เสนอให้มีการทำเรื่องขอยกเว้นในเรื่องดังกล่าวเป็นกรณีไป เช่น เงินที่จะเข้ามาซื้อหุ้นไอพีโอ หรือเงินที่เป็นเงินลงทุนเดิมที่ต้องการขายเพื่อลดความเสี่ยง เป็นต้น
ห่วงฝรั่งหยุดซื้อหุ้นไทยยาว
นายอาจดนัย สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บล. เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศหลายแห่งรวมถึงเจพี มอร์แกน ได้ปรับมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยเป็นลบ ภายหลังธปท.ประกาศมาตรการดังกล่าว เนื่องจากไม่มั่นใจว่าธปท.จะมีมาตรการใหม่ในการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทออกมาอีกหรือไม่
ทั้งนี้ ยอมรับว่าการที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงเป็นการเทขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ เพราะความกังวลเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้ตลาดหุ้นไทยต้องเจอกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับตลาดหุ้นมาเลเซียเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หลังจากที่รัฐบาลมาเลเซียประกาศใช้มาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงิน ส่งผลให้ตลาดหุ้นมาเลเซียปรับลดลงอย่างหนักและนักลงทุนต่างชาติไม่เข้าลงทุน ซึ่งกว่าตลาดหุ้นมาเลเซียจะฟื้นตัวขึ้นมาต้องใช้ระยะเวลาถึง 10 ปี
โบรกฯ มองรูดแตะ 600จุด
นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.บีฟิท หรือ BSEC กล่าวว่า ในระยะสั้นๆ ตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จากที่ธปท.มีการออกมาตรการออกมาในการคุมในเรื่องเก็งกำไรค่าเงินบาท ทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นออกมา ซึ่งถึงแม้นักลงทุนต่างชาติจะขายออกมาในขณะนี้ก็ยังคงมีกำไรจากค่าเงินถึง 20% และการที่เม็ดเงินต่างประเทศจะกลับเข้ามาลงทุนก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นเร็ว
ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีฯจะมีการปรับตัวลดลงอยู่ที่ 600 จุด ในช่วง 1-2 เดือนนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนต่างประเทศจะมีการนำเงินไปลงทุนประเทศอื่น ซึ่งการออกมาตรการของธปท.นั้นมองว่ามีการทำความเข้าใจกับนักลงทุนในตลาดทุนน้อยเกินไป ซึ่งเรื่องดังกล่าวนั้นมีผลกระทบต่อบล.ที่มีฐานลูกค้าเป็นนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งบล.ต่างๆ จะต้องเร่งทำความเข้าใจ
นายเกียรติก้อง เดโช ผู้ช่วยผู้อำนวยการบล.ซิกโก้ กล่าวว่า มาตการการควบคุมเงินบาทในส่วนตัวมองว่าเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากเป็นการสกัดกั้นไม่ให้เงินบาทแข็งค่าซึ่งถ้าหาค่าเงินบาทแข็งค่ามากว่านี้จะส่งผล กระทบกับเศรษฐกิจโดยรวม เพราะว่าเป็นประเทศไทยต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นรายได้หลัก
ทั้งนี้ เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยอาจจะลดน้อยลงบ้าง แต่ยังเชื่อนักลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาวจะยังให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุน โดยประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นในวันนี้คาดว่าแนวโน้มทางเทคนิคดัชนีมีปรับตัวขึ้นได้ เพราะอาจจะมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ออกไป
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า การปรับตัวลดลงส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนรายย่อยห่วงการบังคับขายจึงจำเป็นต้องตัดใจเทขายออกมาเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะรุนแรงมากขึ้น
ทั้งนี้หากนักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ ก็สามารถที่จะถือครองหุ้นต่อไปได้ แต่หากจะเข้ามาซื้อในส่วนตัวมองว่ายังคงไม่เหมาะสมที่จะเข้ามาในช่วงนี้ เนื่องจากจะสังเกตได้ว่าขณะนี้มูลค่าการซื้อขายส่วนใหญ่เป็นการขายเพื่อลดความเสี่ยงเป็นส่วนใหญ่
|