“เจาะพฤติกรรมคนซื้อบ้านปี 2550” เทรนด์คอนโดฯ ทาวน์เฮาส์ ในเมืองยังแรงต่อเนื่อง นายแบงก์ระบุ สัดส่วนขอสินเชื่อสร้างโครงการทาวน์เฮาส์พุ่งแซงหน้าบ้านเดี่ยว เชื่อสินค้าออกสู่ตลาดปีหน้า ด้าน ด้านนายกอาคารชุดไทยชี้ขนาดครอบครัวไทยเล็กลงเหลือ 3 คน/ครัวเรือน แนะผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม
วานนี้ (19 ธ.ค.) ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดงานสัมมนาในหัวข้อ “เจาะพฤติกรรมคนซื้อบ้าน บุกตลาดปี 2550 อย่างมั่นใจ” นายอธิป พีชานนท์ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผยว่า จากสถิติขนาดครอบครัวของคนไทยลดลง จากปีที่แล้ว 4 คน ปัจจุบันเหลือเพียง 3 คนเท่านั้น ประกอบกับราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ส่งผลให้พฤติกรมการอยู่อาศัยของคนไทยเริ่มเปลี่ยนมาซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองมากขึ้น และอยู่บ้านขนาดเล็กลง ดังนั้นผู้ประกอบการควรคำนึงถึงพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปดังกล่าวด้วย
สำหรับแนวโน้มของตลาดในปี 2550 เชื่อว่า จะมีผลดีจากปัจจัยบวกมากกว่าปัจจัยลบ ทั้งในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับลดลง โดยอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทุก 1% จะทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น 6% ซื้อบ้านได้หลังใหญ่ขึ้น ในแง่ผู้ประกอบการทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลง นอกจากนี้ แนวโน้มการลงทุนเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล จะทำให้เกิดการลงทุนการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงการเปิดหน้าดินทำให้เกิดทำเลใหม่ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย
ส่วนปัจจัยลบ ราคาที่ดินที่มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนพัฒนาสูงขึ้นตาม รวมถึงเหตุการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ รวมไปถึงการเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2550 ซึ่งจะทำให้กฎหมายที่รอการอนุมัติจากคระรัฐมนตรี(ครม.) อาทิ พระราชบัญญัติ (พรบ.) ควบคุมอาคาร, พรบ.เอสโครว์ แอคเคานต์ ก็จะต้องรอต่อไป ส่วนกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ในสิ้นนี้ คือ กฎหมายตรวจสอบอาคารสูง 8 ประเภท ที่จะต้องตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2550 รวมทั้งสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อผู้ซื้อบ้านมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการตรวจสอบเครติดบูโร ส่งผลให้มีการปฏิเสธคำขอกู้มากขึ้น
“ การลงทุนในปีหน้าอย่าไปหวังว่าจะขยายตัวได้ดีกว่า แต่อาจจะใกล้เคียงกัน แตกต่างกันที่องค์ประกอบ เช่น ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว ส่วนแบ่งตลาดอาจจะลดลง แต่อาคารชุดโตขึ้นอีกประมาณ 22% จากปีนี้ 20% เป็นผลมาจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูง”นายอธิปกล่าว
ด้านนายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า พฤติกรรมการบริโภคของคนเปลี่ยนไป จากเดิมที่ออกไปซื้อที่อยู่อาศัยชานเมือง ปัจจุบันเริ่มเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้น เนื่องจากค่าใช่จ่ายในการเดินทางสูง อีกทั้งจะเห็นภาพของผู้เช่าอพาร์ตเมนต์อยู่หันมาซื้อคอนโดมิเนียม เพราะราคาเช่าและราคาผ่อนชำระรายเดือนอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
นางลัดดาวัลย์ ธนะธนิตกุล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้ธนาคารมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮาส์มากกว่าบ้านเดี่ยว ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสินค้าที่จะออกมาในปีหน้าจะเป็นทาวน์เฮาส์มากกว่าบ้านเดี่ยว
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์การตลาดในปีหน้า ยังเน้นทำตลาดระดับกลาง และการบริหารต้นทุน ซึ่งที่พักอาศัยที่เป็นเทรนด์ของตลาดอสังหาฯ ในปีหน้า คือ คอนโดฯ เพราะเราต้องการที่อยู่บ้านที่ไม่ต้องมีภาระมากนัก บริษัทก็จะไปโฟกัสในตลาดคอนโดฯ ระดับกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัททำมาตลอด เป็นตลาดที่มีกำลังซื้ออยู่จำนวนมากแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะไม่ดีก็ยังขายได้
ทั้งนี้โครงการระดับซีบวก มีแนวคิดได้มาจากตลาดกลุ่มกลาง เพราะจากสำรวจพบว่า 30% ตลาดเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ในกรุงเทพฯ จากจำนวนประชากรในกรุงเทพ 12 ล้านคน ซึ่งหากมองในด้านความต้องการถือว่ามีจำนวนมหาศาล และเป็นความต้องการซื้อจริง(เรียลดีมานด์ )มีไม่ต่ำกว่า 3 ล้านหน่วย สามารถพัฒนาโครงการรองรับเฉลี่ย 20,000-30,000 หน่วยต่อปี
นายสัมมนา คีตสิน รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวถึงผลการสำรวจพฤติกรรมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2550 ว่า ผู้ที่ต้องการซื้อภายใน 1 ปี ส่วนใหญ่อายุ 21-30 ปี คิดเป็น 41% ,อายุ 31-40 ปี 34% และอายุ 41-50 ปี 17% โดยส่วนใหญ่มีรายได้ต่อครัวเรือน 20,000-50,000 บาท/เดือน 31% รายได้ 10,000-20,000 บาท จำนวน 26%
ด้านราคาที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่ต้องการซื้อบ้านราคา 5 แสน – 1 ล้านบาท 38% ราคา 1-2 ล้านบาท 24% โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการซื้อบ้านภายในปี 2550 ประมาณ 62% จะซื้อบ้านราคา 5 แสนบาท – 2 ล้านบาท โดยจะพิจารณาจากรายได้และความสามารถในการผ่อนชำระควบคู่กัน ซึ่งผู้ที่มีรายได้ 20,000-50,000 บาทต่อครัวเรือน จะมีความสามารถผ่อนชำระ 6,700-16,700 บาทต่อเดือน ซึ่งจะซื้อบ้านได้ในราคา 1.095 - 2.73 ล้านบาท ส่วนทำเลที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในกลุ่มนี้จะเป็ฯที่อยู่อาศัยในย่านศูนย์กลางธุรกิจ หรือ ซีบีดี ประมาณ 13% รองลงมาด้านกรุงเทพฯตะวันออก 12%
|