Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2538








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2538
"ความฝันที่ไร้ปลายทางของชาวท่าตะเกียบ"             
 


   
search resources

Chachoengsao
Environment




หากเอ่ยถึงชื่อ อ. สนามชัยเขต จ. ฉะเชิงเทราในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราจะได้ยินไปพร้อมกับเขาอีด่าง สถานที่ซึ่งใช้เป็นศูนย์อพยพของชาวเขมรที่หนีสงครามเข้ามา ด้วยความเป็นอำเภอที่ห่างชายแดนเพียง 50 กม. ภูมิประเทศที่เป็นป่าไม้อนุรักษ์ขนาดใหญ่ และป่าเสื่อมโทรมที่นำมาทำไร่ได้บ้าง บวกกับพื้นดินที่เป็นดินร่วนปนทรายเสียส่วนใหญ่ซึ่งเหมาะกับการปลูก "ยูคาสิปตัส" ต้นไม้ประเภทหนึ่งที่ฮิตเป็นอย่างมากในช่วงนั้น ซึ่งมารู้ภายหลังว่าเป็นผลเสียกับหน้าดิน ด้วยความที่ไม่มีสิ่งยั่วยวนใจให้นักธุรกิจไปเพิ่มมูลค่าให้กับดินแดนแถบนี้ ดินแดนแห่งนี้จึงถูกมองข้ามตลอดมา

เมื่อโครงการเมืองใหม่ ได้เล็งมาที่ อ. สนามชัยเขต โดยเฉพาะกิ่งอำเภอท่าตะเกียบที่หมายมั่นปั้นมือจะเนรมิตดินแดนที่ถูกสาปแห่งนี้ให้เป็นสวรรค์บนดินขึ้นมา ผู้คนชาวท่าตะเกียบจึงร่าเริงแจ่มใส เพราะมีความรู้สึกว่าส้มใบใหญ่ได้หล่นใส่เขาอย่างจังแล้ว

ในช่วงปี 2536 หลังจากที่ได้มีประกาศว่าจะสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่กิ่ง อ. ท่าตะเกียบเท่านั้นปรากฏว่าดินแดนที่ไม่เคยร้อนระอุไปด้วยการเก็งกำไรที่ดิน กลับอุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยนายหน้าค้าที่จากทั่วสารทิศ จนทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเกิดการลอบสังหาร เนื่องด้วยการขัดผลประโยชน์โดยในช่วงแรกมีการลงมือสังหารกันอย่างครึกโครมในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันถึง 4 ครั้ง รวมผู้เสียชีวิตถึง 6 คน ซึ่งก่อนหน้านี้ท่าตะเกียบไม่เคยเกิดการฆ่าฟันขึ้นมาเลย

สาเหตุที่มีการฆ่าฟันกันมากนั้น เป็นเพราะที่ดินมีราคาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จากเริ่มแรกซึ่งพื้นที่อยู่ติดถนนจะมีราคาไม่เกินหมื่นกว่าบาทต่อไร่ ได้มีการปั่นราคาขึ้นมาจนพื้นที่ที่อยู่ติดหรือตรงข้ามกับที่ว่าการกิ่งอำเภอท่าตะเกียบได้ขึ้นไปเป็นไร่ละ 1-2 แสนบาทในชั่วพริบตา และมีผู้พร้อมจะปั่นให้สูงขึ้นไปอีก หากมีการปล่อยที่ดินผืนนี้ออกมา

"ร้านอาหารท่าตะเกียบที่อยู่ตรงข้ามศูนย์ราชการอำเภอนี้ ตอนนั้นซื้อขายกันห้องละ 2 แสนบาทแล้ว เจ้าของก็เป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งในท่าตะเกียบนี้ ซึ่งหลังจากโครงการเมืองใหม่เงียบไป ราคาก็ยังไม่ตกลงมา" แหล่งข่าวจากศูนย์ราชการอำเภอเปิดเผย

สำหรับที่ดินในท่าตะเกียบนั้น มักจะมีการซื้อขายโดยผ่านนายหน้า โดยที่สนามชัยเขตนั้น มักจะใช้เอกสารสิทธิ์ ส่วนที่ท่าตะเกียบนั้นมักอาศัยบารมีเป็นเครื่องรับประกันในการซื้อขาย เพราะส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องที่ โดยเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในสนามชัยเขตก็มีเช่นตระกูลนันทมานพ ตระกูลดำเนินชาญวณิชย์ผู้ดำเนินการสวนป่ากิตติ และบริษัทในเครือซีพีหรือของตระกูลตันเจริญ ของรมช. มหาดไทยคนปัจจุบัน ส่วนที่ท่าตะเกียบก็มีของกำนันวีอีกนับหมื่นไร่ หรือของกำนันเป๊าะ สมชาย คุณปลื้มกว่า 100 ไร่

นอกจากนั้นแล้ว ผู้ที่เคยติดต่อเข้าไปซื้อที่ดินแถบสนามชัยเขตและท่าตะเกียบ ก็มีอีกหลายรายเช่น วัฒนา อัศวเหม หรือ ดร. ประภา วิริยะประไพกิจ ประธานกรรมการบริษัทสหวิริยาโอเอ ซึ่งในช่วงแรกก็มีข่าวว่า พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ส่งคนไปกว้านซื้อที่ดินแถบนี้ไว้เช่นกัน ซึ่งปรากฎว่าหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลผู้ที่ซื้อที่ดินแถบนี้ หรือกำลังจะเก็งจะซื้ออยู่ ต่างรีบผ่องถ่าย หรือละสายตาไปจากแถบนี้ทันที

การบูมจากที่ดินดังกล่าวได้ส่งผลให้ธุรกิจอื่น ๆ เช่นธุรกิจการเงินเปลี่ยนแปลงไปพอสมควรเช่นธนาคารกรุงไทย สาขาสนามชัยเขต ซึ่งเป็นธนาคารแห่งเดียวในดินแดนแถบนั้น ซึ่งเปิดสาขามาได้เกือบ 4 ปีแล้ว โดยในช่วงแรกที่เปิดทำการนั้น กิจการยังไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้แต่เมื่อมีการตื่นเรื่องเมืองใหม่ จนมีเงินสะพัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกของการประกาศอนุมัติโครงการเมืองใหม่มีเงินไหลเวียนผ่านแบงก์หลายสิบล้านบาท แต่หลังจากโครงการไม่มีการเดินหน้าต่อ ธนาคารก็กลับไปสู่ภาวะปกติดังเดิม

แหล่งข่าวจากศูนย์ราชการอำเภอท่าตะเกียบเล่าให้ฟังว่า จากความตื่นตัวโครงการเมืองใหม่นี้เอง ทำให้มีการเตรียมการยกฐานะกิ่งอำเภอแห่งนี้ ให้เป็นอำเภอภายในปีหน้าที่จะถึงนี้ โดยในระหว่างนี้ได้มีการจัดทำป้ายใหญ่ข้างหน้าโดยใช้คำว่าศูนย์ราชการอำเภอท่าตะเกียบ ซึ่งถือว่าเป็นที่ว่าการอำเภอแห่งแรกที่ใช้คำนี้

"ในช่วงแรกที่มีการประกาศอนุมัติโครงการมีผู้สนใจภาคเอกชนหลายรายมาขอข้อมูลเกี่ยวกับกิ่งอำเภอนี้บ้าง แต่พอโครงการไม่เดิน ก็ไม่มีรายใดโผล่มาอีกเลย ในส่วนของรัฐบาลก็ยังไม่มีความแน่ชัดแต่ประการใดว่า จะย้ายชาวบ้านที่ถูกเวนคืนไปอยู่ที่ใด แต่ทางเราก็มีการมองหาพื้นที่ไว้แล้ว หากรัฐบาลสั่งการให้หาพื้นที่เราก็พร้อมจัดการให้ทันที"

ชาวบ้านรายหนึ่งของท่าตะเกียบให้ทัศนะว่าในช่วงแรกมีความตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่กิ่งอำเภอแห่งนี้จะได้ลืมตาอ้าปากเสียที หลังจากแห้งแล้งกันดารมานาน แต่เมื่อไม่มีอะไรคืบหน้าเช่นนี้ ก็ได้แต่เพียงหวังว่า ทุกอย่างคงไม่เลวร้ายไปกว่าที่เคยเป็นมา

"ชาวบ้านเราหวังให้อย่างน้อยควรจะมีถนนดี ๆ ขนาดไม่ต้องถึง 6 เลนที่บอกไว้ก็ได้ตัดเข้ามาถึงหมู่บ้านเรา แค่นี้ก็พอใจแล้ว ส่วนที่จะเกิดเมืองใหม่ขึ้นหรือไม่นั้น เราไม่อยากจะคิดถึงมันแล้ว ท่าตะเกียบวันนี้ จึงยังคงเป็นเมืองใหม่ในกระดาษ ที่ดูจะเป็นการสร้างความฝันที่ไร้ปลายทางให้ประชาชีดีใจชั่วครั้งชั่วคราวดังที่เคยเป็นมาในอดีต

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us