ซีเอ็มจีประกาศแผนคาสิโอปี 50 ส่งคอลเลคชันใหม่กระทุ้งยอดขายทุกเดือน อัดการตลาดตามเทศกาล ล่าสุดส่งน้องใหม่ "คาสิโอ เลิฟ คอลเลคชัน" ในช่วงโค้งสุดท้าย รับเทศกาลปีใหม่และวันแห่งความรัก ปีหน้าตั้งเป้าโต 20%

นางเยาวลักษณ์ กิจทวีสินพูน ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดนาฬิกาแบรนด์ คาสิโอ บริษัท เซ็นทรัล เทรดดิ้ง เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทฯ ยังไม่มีนโยบายปรับราคาสินค้าลงหรือปรับราคาของสินค้าขึ้นแต่อย่างใด แม้ว่าเงินบาทจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นก็ตาม บริษัทฯ ก็ยังจะดำเนินการตามแผนเดิมโดยจัดสินค้าตามเทศกาล หรือเป็นแต่ละช่วงเวลาเช่นเดิม เพื่อสร้างความใหม่ให้กับสินค้าอยู่อย่างต่อเนื่อง

แผนการทำตลาดนาฬิกายี่ห้อคาสิโอในปีหน้า บริษัทฯ คาดว่าจะทยอยเปิดตัวรุ่นใหม่อย่างน้อย 1คอลเลคชันต่อเดือน ใกล้เคียงกับปี 2549 นี้ และหลายกลุ่มแบ่งตามรูปแบบการใช้ชีวิต หรือ ไลฟ์สไตล์มากขึ้น สอดรับกับแนวโน้มภาพรวมตลาดนาฬิกาในปีหน้า ที่คาดว่าจะยังมีอัตราการเติบโตดีต่อเนื่องจากปีนี้ ที่มีการกระตุ้นยอดขายสินค้ากลุ่มนี้ผ่านการจัดงานนาฬิกา หรือ วอทช์ แฟร์ อย่างต่อเนื่องหลายครั้งจากเดิมเฉลี่ย 2ครั้งต่อปี

ล่าสุดบริษัทฯ เปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ คาสิโอ เลิฟ คอลเลคชันเป็นรุ่นพิเศษมีจำนวนจำกัด ภายใต้คอนเซ็ปต์ โทนสีขาว(ไวท์ ธีม) โดยจัดทำขึ้นทั้งรุ่น G-Shock รวมถึง Baby-G สินค้าในกลุ่มนี้จัดทำเป็นคู่ในแบบฉบับผู้ชายและผู้หญิง ทั้งนี้การที่บริษัทฯ จัดเป็นคอลเลกชันคู่กันเพื่อตอนรับเทศกาลความรัก วาเลนไทน์ที่กำลังจะถึงในช่วง กุมภาพันธ์ในต้นปี 2550

ขณะเดียวกันสินค้า คาสิโอ เลิฟ คอลเลคชัน มี 2 รุ่น คือ 1.ตัวเรือนสีขาวกรอบหน้าปัดสีทอง ทั้งแบบเข็มหรืออะนาล็อค และแบบตัวเลข (ดิจิตอล) และ 2.รุ่นตัวเรือนสีขาว กรอบหน้าปัดสีเงิน แสดงเวลาแบบตัวเลข(ดิจิตอล) นอกจากนี้นาฬิกาคาสิโอ ชุดสะสมดังกล่าวยังมีรูปแบบอื่นๆ ให้เลือกใส่ตามสไตล์อีกถึง 3รุ่น จับกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบแบรนด์คาสิโอ และคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเทรนด์แฟชั่นการแต่งกาย โดยบริษัทตั้งเป้าจำหน่ายนาฬิกาคาสิโอคอลเลคชันดังกล่าวจำนวน 200 เรือน

ที่ผ่านมาสินค้านาฬิกาคาสิโอ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย แนวแฟชั่น คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% และหมวดสินค้าปกติ 40 % ซึ่งหลังจากมีการนำรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาดทำให้สินค้ากลุ่มหลังมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นกว่า 20% และมีกลุ่มเป้าหมายหลักคนทำงาน ปัจจุบันแบรนด์คาสิโอ วางราคาจำหน่ายสินค้าตั้งแต่ระดับหลักพันบาทต้นไปจนถึงหลักหมื่นบาท

สำหรับผลประกอบการโดยรวมสิ้นปี คาดว่าจะโตได้ประมาณ 20% ส่วนการเติบโตในปี 2550 นั้นบริษัทคาดว่าจะเติบโตได้ 20% แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นก็ตาม แต่จากการที่บริษัทมีคอลเลคชันใหม่ๆ ออกมาสม่ำเสมอ อีกทั้งกลุ่มลูกค้าที่มีรอยัลตี้ต่อแบรนด์มีเป็นจำนวนมาก