Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2538








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2538
"สมชาย ทรงศักดิ์เดชา วิศวกรผู้สร้าง "แอร์โรว์" มา 20 ปี"             
 


   
www resources

โฮมเพจ-ธนูลักษณ์

   
search resources

ธนูลักษณ์, บมจ.
สมชาย ทรงศักดิ์เดชา
Garment, Textile and Fashion




"ผมจบวิศวะ แต่มาอยู่โรงงานทำเสื้อเพื่อนผมหัวเราะกันใหญ่ เพราะตอนนั้นไม่มีใครเห็นคุณค่าอุตสาหกรรมเสื้อผ้า แตกต่างกับตอนนี้ที่มูลค่าการส่งออกปีละเป็นแสนล้านบาท" สมชาย ทรงศักดิ์เดชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด(มหาชน) เจ้าของลิขสิทธิ์ผู้ผลิตเสื้อเชิ๊ตแอร์โรว์ในประเทศไทยเล่าเหตุการณ์เมื่อสมัย 20 ปีก่อนที่เขาถูกมอบหมายให้มารับผิดชอบจัดตั้งโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งแรกของธนูลักษณ์ให้ฟัง

ช่วงก่อนที่ธนูลักษณ์จะได้ลิขสิทธิ์แอร์โรว์มาผลิตเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2518 นั้น ในประเทศไทยมีการนำเสื้อเชิ๊ตสำเร็จรูปสำหรับผู้ชายมาจำหน่ายเพียง 2-3 ยี่ห้อ นอกจากแอร์โรว์ ก็มีแมนฮัตตันและเอสไควร์ โดยขณะนั้นบริษัท บางกอก โกเซอรี่เป็นผู้นำเข้าแอร์โรว์ จากประเทศสหรัฐอเมริกา และอินเตอร์เนชั่นแนล คอสเมติคส์ (ไอซีซี) ก็รับเสื้อจากบางกอก โกเซอรี่มาจำหน่ายอีกต่อหนึ่ง

สมชายเล่าว่า ปริมาณยอดขายของแอร์โรว์ในช่วงนั้นมีจำนวนไม่มากนัก เพราะคนไทยยังไม่นิยมใส่เสื้อผ้าสำเร็จรูป ซึ่งเรียกกันอย่างดูถูกนิด ๆ ว่า "เสื้อโหล" อย่างทุกวันนี้ นอกจากนี้เสื้อเชิ๊ตที่นำเข้ายังมีขนาดไม่เหมาะกับรูปร่างคนไทยที่ตัวเล็กกว่าคนอเมริกันแป็นส่วนใหญ่ ประกอบกับราคาจำหน่ายที่สูงถึงตัวละ 500 กว่าบาท เพราะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าประมาณ 80-100%

อย่างไรก็ดีแม้ว่าเชิ๊ตแอร์โรว์ที่ขายอยู่จะยังไม่ได้รับความนิยม แต่บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา บอสใหญ่ของไอซีซีก็มองเห็นการณ์ไกลว่า อนาคตตลาดเสื้อผ้าสำเร็จรูปในประเทศไทยน่าจะไปได้ดีเช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นซึ่งช่วงนั้นไอซีซีมีบริษัทในเครือที่ตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งออกไปญี่ปุ่นอยู่แล้ว

แนวคิดดังกล่าวทำให้บุณยสิทธิ์ตัดสินใจติดต่อขอลิขสิทธิ์การเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเสื้อเชิ๊ตแอร์โรว์ แต่ผู้เดียวในประเทศไทยจากบริษัท CLUETT PEABODY เจ้าของลิขสิทธิ์แอร์โรว์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งแอร์โรว์ก็ไม่ขัดข้องหลังจากที่เดินทางมาดูโรงงานตัดเสื้อและเครือข่ายการขายที่ไอซีซีมีอยู่

เมื่อแอร์โรว์ตกลงให้สิทธิ์การผลิต บุณยสิทธิ์ก็มอบหมายให้สมชาย ซึ่งเป็นวิศวกรที่รับผิดชอบเรื่องการเพิ่มผลผลิตให้กับโรงงานผงซักฟอกของสหพัฒนพิบูลมาตั้งแต่ปี 2516 เป็นโปรเจกต์ แมเนเจอร์ในการตั้งโรงงานผลิตเสื้อเชิ๊ตแอร์โรว์ให้ไอซีซีเป็นผู้จัดจำหน่าย

สมชาย สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทางเคมี จากคณะวิทยาศาสตร์ และปริญญาโทด้านวิศวกรรมอุตสาหการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบเขาก็ยังได้ไปฝึกและดูงานในโรงงานมากมายหลายแห่งทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น และยุโรป จนมีความเชี่ยวชาญด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมาก ตรงกันข้ามกับเรื่องสิ่งทอที่เขาไม่มีความรู้เลย แต่เมื่อได้รับมอบหมายจากเจ้านายก็ยอมมาแต่โดยดี

นี่นับเป็นการมองการณ์ไกลของบุณยสิทธิ์ครั้งที่สอง เพราะการที่แอร์โรว์ และธนูลักษณ์มีโอกาสฉลองครบรอบ 20 ปีในฐานะผู้นำตลาดเสื้อผ้าชายในวันนี้ เป็นข้อพิสูจน์ได้ดีว่าเขาใช้คนไม่ผิด

สมชายถูกส่งไปฝึกการตัดเย็บเสื้อกับแอร์โรว์สหรัฐอเมริกาอยู่ 2 เดือน ก่อนที่จะกลับมาตั้งโรงงานแห่งแรกของธนูลักษณ์ โดยเขาต้องทำทุกอย่างเอง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกเด็กให้เย็บเสื้อ การหาผ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ลำบากมาก เพราะสิ่งทอในประเทศไทยขณะนั้นยังไม่มีการพัฒนาเลย

"นอกจากผมจะไม่รู้เรื่องสิ่งทอแล้ว ผมยังมีปัญหาเรื่องการสื่อสารกับคนจีน คนญี่ปุ่นซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานทอผ้าที่ผมไปติดต่อด้วยอีก เขาพูดภาษาไทยก็จริงแต่ผมฟังไม่รู้เรื่อง ต้องหาคนมาช่วยแปลกันวุ่นวาย" สมชายเล่าเรื่องที่ตลกไม่ออกในอดีตให้ฟังด้วยเสียงหัวเราะ

สมชายเล่าว่า เสื้อเชิ๊ตแอร์โรว์รุ่นแรก ๆ ที่ผลิตขึ้นมามีปัญหา คือเสื้อขึ้นขนเพราะต้องตัดเย็บจากผ้าใยสังเคราะห์ผสมคอตตอน เนื่องจากไม่มีผ้าคอตตอนแท้ที่มีคุณภาพให้เลือกใช้ เขาต้องเข้าไปช่วยโรงทอพัฒนาคุณภาพผ้า โดยลงไปศึกษาเรื่องโครงสร้างของผ้าอย่างลึกซึ้ง จึงแก้ปัญหาได้ และทำให้ผ้าคอตตอนถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับ จนมีให้เลือกใช้หลายเบอร์ ไม่ว่าจะเป็นเบอร์ 30 เบอร์ 40% เบอร์ 50 เบอร์ 80 เบอร์ 100 หรือล่าสุดแอร์โรว์ได้แนะนำเสื้อเชิ้ต "Wrinkle Free" รีดง่ายแต่ยับยากออกมาให้ลูกค้าที่มีเวลาไม่มากนักในการรีดผ้าได้ใช้ อันเป็นพัฒนาการล่าสุดของแอร์โรว์

สมชายกล่าวถึงความสำเร็จของแอร์โรว์ ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดแฟชั่นเสื้อผู้ชายสูงถึง 35% ว่า มาจากหลักการ 3 ข้อ เริ่มจากการมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ (Value Added) และจำหน่ายในราคาที่เหมาะสม การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้เป็นผู้นำแฟชั่นตลอดเวลา การยึดหลัก Product Development ด้วยการวิจัย ทั้งด้านเทคโนโลยีการผลิตและการศึกษาความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้ธนูลักษณ์มีโอกาสในการขยายตัวตลอดเวลา 20 ปีที่ดำเนินงานมา กล่าวคือ

ปี 2520 ขยายไปผลิตกางเกง เสื้อยืด ชุดนอนแอร์โรว์ และเริ่มทำการส่งออกผลิตภัณฑ์ของบริษัทสู่ต่างประเทศ ทั้งยุโรปและเอเชีย

ปี 2523 แยกแผนกกางเกง เสื้อยืด ออกไปตั้งบริษัทใหม่ ชื่อ ประชาอาภรณ์

ปี 2526 เริ่มผลิตเครื่องหนัง กระเป๋า เข็มขัด และใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลข้อมูล

ปี 2527-2528 ได้จัดตั้งโรงงานหลังใหม่ และได้รับลิขสิทธิ์ในการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ GUY LAROCHE จากฝรั่งเศส

สำหรับปี 2528-2538 ซึ่งเป็นช่วงก้าวสู่ทศวรรษที่สองนั้น ธนูลักษณ์ได้ขยายฐานการผลิตจากเครื่องแต่งกายชาย ไปสู่การผลิตเสื้อผ้าสำหรับเด็กและเสื้อผ้าสตรี รวมทั้งได้นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2530 ด้วย

ปัจจุบันบริษัทธนูลักษณ์ มีทั้งสิ้น 5 สาขา คือ หนึ่ง-สำนักงานใหญ่ส่วนกลางอยู่ที่ถนนช่องนนทรี ซึ่งดำเนินการผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสำหรับสุภาพบุรุษและเครื่องหนังแอร์โรว์ กี ลาโรช, ZAZCH, เก็ตอะเวย์ เครื่องแต่งกายสำหรับสุภาพสตรีลา ฟาม, มิกซ์ เซลฟ์, เสื้อผ้าเด็กแอบซอร์บา, a และ Z สอง-ธนูลักษณ์ ณ สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ ศรีราชา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการบริหารงานของบริษัทในกลุ่มธนูลักษณ์กรุ๊ป สาม-ธนูลักษณ์ ณ สวนอุตสาหกรรมลำพูน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเครื่องหนัง สี่-ธนูลักษณ์ ณ สวนอุตสาหรรม กบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นแหล่งผลิตเสื้อเชิ๊ต ห้า-บริษัท ธนูลักษณ์ ณ ซอยพัฒนาการ ดำเนินงานด้านการผลิตเสื้อผ้าสตรี

โดยสัดส่วนการผลิตของธนูลักษณ์ประกอบไปด้วย เครื่องแต่งกายสำหรับสุภาพบุรุษ 56% ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง 25% เสื้อผ้าเด็ก 7% เสื้อผ้าสตรี 12% ซึ่งเป็นการผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศ 75% อีก 25% ที่เหลือส่งออกไปในภูมิภาคเอเชียและยุโรป โดยญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกมากถึง 50% ของการส่งออก

นอกจากนี้ธนูลักษณ์ยังเข้าไปบุกตลาดใน 2 ประเทศ คือ จีนและอินโดนีเซีย โดยจีนนั้นจะใช้แอร์โรว์เข้าไปบุกเบิก ขณะที่อินโดนีเซียซึ่งเป็นการร่วมทุนกับนักลงทุนท้องถิ่นใช้กีลาโรซเป็นหัวหอก

ในปี 2537 ที่ผ่านมา ธนูลักษณ์มียอดขายรวม 1,109 ล้านบาท และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 11% ในปี 2538 ซึ่งในครึ่งปีแรกสามารถทำไปได้แล้ว 620 ล้านบาท

สมชายกล่าวถึงเป้าหมายสำคัญที่ธนูลักษณ์ต้องพัฒนาต่อไปคือ พัฒนาโรงงานให้ทันสมัยกว่าที่เป็นอยู่ โดยต้องการพัฒนาให้เทียบเท่ากับโรงงานในสหรัฐฯ ด้วยการสั่งซื้อเครื่องจักรที่เรียกว่า "Movable Hanger System" ซึ่งไม่ต้องใช้แรงงานคนในการเย็บเสื้อเข้ามาใช้จำนวน 6 ตัว

"แม้ว่าเครื่องจักรนี้จะมีราคาแพงกว่าจักรเย็บผ้าถึง 6 เท่า แต่เราต้องยอม เพราะตระหนักดีว่าการแข่งขันในตลาดนี้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องนำมาใช้เพื่อความรวดเร็วและลดต้นทุนในการผลิต" คำกล่าวทิ้งท้ายของสมชายยังสะท้อนให้เห็นว่าความรู้เรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพในโรงงานยังมีอิทธิพลกับเขาอยู่เต็มร้อย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us