|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บิ๊ก "ที.กรุงไทย" คาดรายได้ปีหน้าโต 10% หลังรับออเดอร์ลูกค้ารายใหม่ ยอมรับรายได้ปีนี้หดเหลือแค่ 800 ล้านบาท จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 850-900 ล้านบาท หลังลูกค้าเปลี่ยนระบบการค้าเป็นเพียงการจ้างผลิต เตรียมเงิน 80 ลงทุนปีหน้าขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงสายการผลิต พร้อมตั้งเป้าอัตรากำไรขึ้นต้นปี 50 เพิ่มจาก 17% เป็น 20% โปรยยาหอมจ่ายปันผลแน่แม้กำไรสุทธิลดลง
นายจุมพล เตชะไกรศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TKT กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 900 ล้านบาท เติบโตประมาณ 10% จากรายได้ในปีนี้ที่น่าจะอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาท โดยปรับลดลงจากเดิมที่บริษัทตั้งเป้าปี 2549 ไว้ที่ 850-900 ล้านบาท เนื่องจากลูกค้าบางรายของบริษัทเปลี่ยนระบบการค้ากับบริษัทเป็นระบบจ้างผลิต เพราะลูกค้ามีการจัดหาวัตถุดิบให้ (Supply Material) ทำให้มีการปรับโครงสร้างราคาต่ำกว่าเดิม
ทั้งนี้ ภายในปีหน้าบริษัทจะรับรู้รายได้จากจากลูกค้ารายใหม่ซึ่งเป็นลูกค้าธุรกิจยานยนต์จากประเทศญี่ปุ่นจำนวน 3 ราย หรือประมาณ 10-15 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 3/2550 รวมทั้งบริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายใหม่อีกจำนวน 4-5 ราย ซึ่งยังคงเป็นลูกค้าในส่วนธุรกิจยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยบริษัทคาดว่าจะมีข้อสรุปได้ประมาณไตรมาส 1 หรือไตรมาส 2 ปี 2550 และจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ประมาณปี 2551
นอกจากนี้ ในปีหน้าบริษัทเตรียมแผนที่จะใช้งบลงทุนประมาณ 80 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังการผลิตในการสั่งซื้อเครื่องจักรเพื่อผลิตสินค้าให้กับลูกค้ารายใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น จำนวน 50 ล้านบาท และนำมาลงทุนปรับปรุงธุรกิจสายการผลิตประมาณ 20-30 ล้านบาท โดยเงินลงทุนจะนำมาจากกระแสเงินสด(Cash Flow)และจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน
นายจุมพล กล่าวอีก ว่า บริษัทคาดว่ากำไรขั้นต้น(Gross Margin) ของบริษัทในปีหน้าจะอยู่ที่ 20%เพิ่มขึ้นจากระดับ 17% ในปีนี้ เนื่องจากการบริหารงานและการจัดการระบบคลังสินค้าของบริษัทดีขึ้นทำให้ปริมาณของเสียในส่วนของวัตถุดิบลดลงโดยปัจจุบันวัตถุดินที่เสียอยู่ทีประมาณ 8%
สำหรับการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงตลอดปีที่ผ่านมา ไม่ถือว่าส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท เนื่องจากบริษัทไม่ได้ส่งออกโดยตรงเนื่องจากการซื้อขายสินค้าของบริษัทกับลูกค้าอยู่ในรูปของเงินบาททั้งหมดจึงถือได้ว่าผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวไม่มีนัยต่อบริษัท
ในส่วนของนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทในงวดสิ้นปี 2549 บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ เมื่อเทียบกับปี2548บริษัทจ่ายเงินปันผลไปแล้ว 0.10บาทต่อหุ้น โดยในงวด 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 12.12 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมาซึ่งมีกำไรสุทธิในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 41.54 ล้านบาท
"แม้ว่ากำไรสุทธิจะลดลง แต่เรายืนยันว่าจะสามารถจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นในงวดสิ้นปีนี้ ได้อย่างแน่นอน เพราะว่าเรามีสภาพคล่องของกระแสเงินสดดี ซึ่งกระแสเงินสดของบริษัทในปัจจุบันก็เพียงพอที่จะจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้" นายจุมพล กล่าว
|
|
|
|
|