ช่วงสายของวันที่ 31 วิงหาคม ณ ห้องบอลรูมโรงแรมสยามอินเตอร์-คอนติเนนตัล
กลุ่มยูคอมประกาศว่าจะเป็นวันแถลงผลประกอบการและทิศทางของกลุ่ม แต่ในความเป็นจริง
ช่วงเวลาดังกล่าวมีความหมายมากกว่านั้น
โดยเฉพาะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กระทรวงคมนาคมกำลังพิจารณาโครงการโทรศัพท์
1.9 ล้านเลขหมายและการแก้ไขแผนแม่บทโทรคมนาคม ที่มีประเด็นสำคัญ คือ การขยายโทรศัพท์
6 ล้านเลขหมาย ที่ทุนสื่อสารทั้งหลาย ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าควรแบ่งออกเป็นระบบโซนนิ่งอ้างว่าเพื่อให้เอกชนรายเล็กรายน้อย
ได้เข้าไปมีส่วนบ้างแทนที่จะเป็น 2 รายคือ ทีเอและทีทีแอนด์ที และก็แน่นอนว่า
ยูคอมย่อมเป็นหนึ่งในเอกชน ที่เป็นตัวตั้งตัวตีกับแนวคิดในเรื่องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ถ้อยแถลงของบุญชัย เบญจรงคกุล คนโตของค่ายยูคอมในวันนั้น ประเด็นหลักจึงไปอยู่กับเรื่องโทรศัพท์พื้นฐานไป
ส่วนนโยบายธุรกิจของบริษัทจึงกลายเป็นแค่ของแถม
นั่นเพราะ เป้าหมายหลักของการขยายธุรกิจยูคอมในเวลานี้ ไม่ใช่การลงทุนในต่างประเทศ
ไม่ใช่การขยายธุรกิจสื่อสารแบบครบวงจรแต่เป็น "โทรศัพท์พื้นฐาน"
ไม่เพียงเพราะผลประโยชน์อันมหาศาล ที่จะได้มาจากการเป็นเจ้าของเครือข่ายโทรศัพท์
สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานแห่งยุคที่สำคัญที่สุด คือ การได้ครอบครองเครือข่ายแก้วนำแสง
(ไฟเบอร์ออพติก) ที่สามารถแตกหน่อออกเป็นบริการเสริมเป็นจำนวนมากมาย
ในวันนั้น ยูคอมประกาศว่าปี 2537 มียอดรายได้ 10,600 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากยอดรายได้ปีที่แล้ว
5,130 ล้านบาท ถึง 110.52% และในปีนี้ยูคอม คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก
20% จากปีที่แล้ว นับเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย
รายได้ของครึ่งปี 2538 มีรายได้รวม 6,087 ล้านบาทซึ่งที่มาของรายได้หลักมาจากการขายอุปกรณ์เทอร์มินัล
38% รายจากการให้บริการ 34% รายได้จากการรับเหมาติดตั้งเครือข่ายโทรคมนาคม
21% อื่น ๆ 7%
หากพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า ที่มารายได้ของกลุ่มยูคอม ยังคงมาจากธุรกิจดั้งเดิม
ตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ คือธุรกิจรับเหมาติดตั้ง และรายได้จากการขายเครื่องลูกข่ายคือโทรศัทพ์มือถือ
ภายใต้ยี่ห้อโมโตโรล่า ส่วนรายได้จากการให้บริการมาจากการให้บริการโทรศัพท์มือถือ
ระบบแอมป์ 800 เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนขยายเครือข่ายอีกเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะการลงทุนระบบดิจิตอล
พีซีเอ็น 1800 ที่ต้องลงทุนอีกมากกว่าจะมีเครือข่ายครอบคลุมไปทั่วประเทศ
ในขณะที่รายได้จากสัมปทานบริการสื่อสารประเภทอื่น ๆ ที่ยูคอมคว้ามาครอง
ในช่วง 2-3 ปีที่แล้ว อาทิ ทรังค์เรดิโอ โมบายดาต้า วิทยุติดตามตัว ยังไม่มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ
รวมทั้งสัมปทานใหม่อย่าง เคเบิลทีวี ที่ได้รับสัมปทานจาก อ.ส.ม.ท. ก็ยังไม่ได้เริ่มลงมือ
เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูง และการแข่งขันก็รุนแรงมาก หรือแม้แต่โครงการสื่อสารผ่านดาวเทียมอีเรเดียม
ก็ต้องใช้เงินลงทุนสูง และใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะมีรายได้ ในขณะที่สัมปทานดั้งเดิม
อย่างโฟนพ้อยต์ สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น
บุญชัยยอมรับว่า แม้ยูคอมจะมีสัมปทานอยู่ในมือเป็นจำนวนมากก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงบริการเสริมเท่านั้น
ซึ่งบริการเหล่านี้จำเป็นต้องพึ่งพาวงจรต่อเชื่อมของโทรศัพท์พื้นฐานทั้งสิ้น
ยูคอมเคยได้เรียนรู้จากบทเรียนอันเจ็บปวดในอดีตมาจากการเปิดให้บริการโทรศัพท์แอมป์
800 ในช่วงที่ยังไม่เปลี่ยนเป็นระบบ 01 ยังต้องใช้เลขหมาย 7 หลักให้บริการแก่ลูกค้า
ที่ต้องผจญกับความยุ่งยากนานาประการเพราะปัญหาการขาดแคลนเลขหมายโทรศัพท์
"แม้คุณจะมีบริการเสริมมากมายในมือ แต่หากคุณขาดโทรศัพท์พื้นฐานเท่ากับว่าไม่มีวงจรต่อเชื่อมคุณก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ที่สำคัญคุณไม่สามารถวางแผนธุรกิจได้เลย" บุญชัยตอกย้ำถึงความสำคัญของโทรศัพท์พื้นฐาน
นั่นเพราะการเป็นเพียงเจ้าของสัมปทานบริการเสริมแต่ไม่มีบริการพื้นฐานอยู่ในมือย่อมเป็นอันตรายยิ่งนักเมื่อรัฐบาลเปิดเสรีขึ้น
โดยเฉพาะการที่ต้องต่อกรกับคู่แข่งที่มีบริการพื้นฐานอยู่ในมือ
การประกาศของบุญชัยที่จะไม่ขวางทีเอ และทีทีแอนด์ที ที่กำลังจะคว้าโครงการโทรศัพท์
1.1 ล้านเลขหมายอีกต่อไป แต่ขอให้ยูคอมและชินวัตรมีส่วนร่วมใน 8 แสนเลขหมายที่เป็นขององค์การโทรศัพท์ฯ
ก็เป็นพอ ก็เป็นการตอกย้ำความพยายามเป็นอย่างดี
นั่นเพราะยูคอมรู้แล้วว่าขวางไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้รอทำโครงการใหม่ดีกว่า
ซึ่งรัฐบาลชุดของนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่มีสมบัติ อุทัยสาง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
เป็นแกนหลักในเรื่องการขยายโทรศัพท์ก็เห็นชอบในการแบ่งโซนนิ่งตามที่เหล่าบรรดาเอกชนสื่อสารเสนอมา
ในวันนั้น บุญชัยกล่าวกับบรรดานักข่าวว่า แท้ที่จริงแล้วโครงการโทรศัพท์
3 ล้านเลขหมาย เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะกลุ่มยูคอม
บุญชัยจึงชี้แจงแถลงไขว่า เมื่อ 4-5 ปีมาแล้ว กลุ่มยูคอมเคยอาจหาญยื่นเสนอขอโครงการขอติดตั้งโทรศัพท์จำนวน
1 แสนเลขหมายไปที่องค์การโทรศัพท์ฯ ในสมัยที่ไพบูลย์ ลิมปพยอมยังนั่งเป็นผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์ฯ
แต่แล้วพอเปิดประมูลเข้าจริง กลุ่มยูคอมถูกเขี่ยตกไปโดยไม่มีสาเหตุมาก่อน
ซึ่งจากโครงการที่ยูคอมเสนอไป 1 แสนเลขหมาย ก็ได้ขยายเพิ่มขึ้นจนกลายเป็น
3 ล้านเลขหมาย แต่ถูกหั่นเป็น 2 ล้านและ 1 ล้านเลขหมายมาอยู่ในมือของทีเอ
และทีทีแอนด์ทีในที่สุด โดยที่ไม่มียูคอมร่วมวงไพบูลย์แต่อย่างใด
สิ่งที่บุญชัยพูดมาทั้งหมด เพื่อที่จะบอกให้รู้ว่ายูคอมมีความพร้อมเพียงใดกับการที่จะเข้าไปมีส่วนในการติดตั้งโทรศัพท์
"กลุ่มยูคอมมีความพร้อมเป็นอย่างยิ่ง และอาจจะมากกว่าคนที่ได้ทำโทรศัพท์อยู่ในวันนี้เสียอีก"
บุญชัยประกาศ
แม้การที่บริษัทแทคบริษัทลูกที่รับสัมปทานโทรศัพท์มือถือ แอมป์ 800 จากการสื่อสาร
ที่ได้ยื่นขอแปลงจากสัมปทานมาเป็นหุ้นก็มีทีท่าว่า จะเห็นองค์การโทรศัพท์ดีกว่าการสื่อสารเสียแล้ว
ถึงกับเสนอให้หุ้นกับ ทศท. ถึง 11% ในขณะที่ กสท. ได้แค่ 10% และก็กลายเป็นว่า
ทศท. จะเข้ามาถือหุ้นในแทคก่อนเจ้าของสัมปทานอย่าง กสท. เสียแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คงจะไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด
ๆ ในรัฐบาลแล้ว ยูคอมคงต้องจะเข้าไปมีส่วนในโครงการขยายโทรศัพท์ 8 แสนเลขหมายของ
ทศท. หรือแม้แต่ 6 ล้านเลขหมายอย่างแน่นอน ไม่ได้ก็เสียชื่อแย่