สิ้นเดือนตุลาคมนี้ "ประวิทย์ คล่องวัฒนกิจ" จะอำลาจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ
บริษัทผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือได้ว่าประวิทย์มีอายุงานมากที่สุดคนหนึ่งในบริษัทดังกล่าว
การอำลาครั้งนี้ดูจะเป็นจริงและยากที่คณะกรรมการบริษัทจะทักท้วงเช่นเมื่อคราวก่อน
เหตุผลลึก ๆ ในการอำลาของประวิทย์ทั้ง 2 ครั้ง ดูไม่แตกต่างกันนักเพียงแต่ว่า
ครั้งนี้ความจำเป็นที่ต้องออกไป ทับทวีมากขึ้นมากกว่าเมื่อ 1 ปีที่แล้ว
อาสา สารสิน ประธานผู้บริหารบริษัทผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ
เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับการลาออกจากตำแหน่งของนายประวิทย์
ซึ่งข้อความตอนหนึ่งระบุว่า
"นายประวิทย์ ได้แสดงความประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่งมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือนตุลาคม
2537 โดยขอเกษียณอายุเมื่อครบ 60 ปี ตามข้อบังคับของบริษัท ที่ใช้กับพนักงานคนอื่น
ๆ แต่บริษัทได้ขอให้ดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไปตามวาระของกรรมการบริษัท ซึ่งจะสิ้นสุดลงในเดือนเมษายน
2540 อย่างไรก็ตามในปีนี้นายประวิทย์ได้แสดงความประสงค์ขอลาออกอีกครั้ง โดยขอให้พ้นจากตำแหน่งในสิ้นเดือนตุลาคม
2538 เพื่อไปประกอบธุรกิจส่วนตัว
เมื่อถึงคราวที่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการจะต้องว่างลง จึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักที่จะหาผู้มาดำรงตำแหน่งแทน
ในขณะที่การบริหารงานขององค์กรแห่งนี้ยากยิ่งขึ้นทุกขณะ
แหล่งข่าวกล่าวว่า เมื่อถึงเวลาที่ตำแหน่งจะต้องว่างลงและบริษัทยังไม่สามารถหาผู้เหมาะสมมารับตำแหน่ง
บริษัทคงต้องตัดสินใจให้อาสา สารสิน มาควบตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเป็นการชั่วคราวไปก่อน
เพราะอย่างน้อยอาสาก็เคยดำรงตำแหน่งดังกล่าวมาแล้ว และยังติดตามงานของบริษัทมาโดยตลอดในฐานะของประธาน
ซึ่งการเข้ารับตำแหน่งชั่วคราวก็เพื่อไม่ให้งานของบริษัทต้องสะดุด
สำหรับผาแดง ประวิทย์นับเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมก่อตั้งขึ้นมาเลยทีเดียว ด้วยการรับหน้าที่ดูแลด้านเศรษฐกิจและการกู้เงินจากต่างประเทศ
รวมทั้งการดูแลการก่อสร้างโรงงานถลุงแร่สังกะสีที่จังหวัดตาก ครั้งนั้นประวิทย์เข้ามาในลักษณะของการยืมตัวมาจากกระทรวงการคลัง
โดยมารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเป็นเวลา 4 ปี
การก่อตั้งบริษัท ผาแดงอินดัสทรีเกิดขึ้นเมื่อปี 2524 เพื่อทำเหมืองแร่สังกะสีและผลิตโลหะสังกะสีจำหน่ายในประเทศ
โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 20% เหตุผลของการตั้งบริษัทก็เพราะรัฐบาลขณะนั้นต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาให้ฟื้นตัวขึ้นบ้าง
เนื่องจากขณะนั้นไม่มีการลงทุนในโครงการใหญ่ ๆ เกิดขึ้นเลย
ประวิทย์ที่อยู่ผาแดงช่วงแรก 4 ปีซึ่งเป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่โรงงานถลุงแร่ที่จังหวัดตากของผาแดงสร้างเสร็จและสามารถผลิตแร่ได้ในปี
2528 ซึ่งช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ประวิทย์จะต้องกลับไปรับราชการ เพราะหมดวาระในการดึงตัวมาช่วยงาน
แต่จากผลงานที่ปรากฏทำให้ผู้บริหารของผาแดงในขณะนั้นเห็นฝีมือ จึงมีการชักชวนให้อยู่ต่อ
จนในที่สุดประวิทย์ตัดสินใจลาออกจากราชการ เพื่อมารับตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการรองผู้จัดการฝ่ายการเงินและบัญชีของผาแดง
และอีกเพียงข้ามปีประวิทย์ ได้รับความไว้วางใจให้รับตำแหน่งกรรมการรองผู้จัดการ
นับจากปี 2528 ที่โรงงานสามารถถลุงแร่ได้เรื่อยมา บริษัทจึงเริ่มมีกำไรและเม็ดเงินกลับคืนมามากขึ้น
จนปี 2530 จึงเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และนับเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมในระดับแนวหน้าทั้งภาพลักษณ์ของหุ้นเก็งกำไรและหุ้นพื้นฐานผสมกันอย่างแยกไม่ออก
ช่วงปี 2532 นับเป็นช่วงสำคัญสำหรับประวิทย์เช่นกัน เมื่อผาแดงมีการเปลี่ยนผู้บริหาร
โดยไกรศรี จาติกวณิชลาออกเพื่อไปประกอบธุรกิจส่วนตัว จากนั้นผาแดงจึงได้อาสา
สารสินเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการแทน
ในยุคของอาสา ผาแดงนับว่าเป็นองค์กรที่ขยายงานมากแห่งหนึ่ง และประวิทย์ก็ได้ช่วยอาสา
บริหารงานร่วมกันมาตลอด
จนกระทั่งปี 2534 เมื่อรัฐบาลที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี
ได้เชิญอาสา สารสินเข้าไปเป็นรัฐมนตรี ประวิทย์จึงต้องเข้ามารับผิดชอบงานแทนทั้งหมด
ซึ่งในยุคที่ประวิทย์เป็นกรรมการผู้จัดการของผาแดงนับจากปี 2534 เรื่อยมา
กล่าวได้ว่า ผาแดงได้ถูกนำให้เข้าไปสู่ความเป็นองค์กรระดับนานาชาติมากขึ้นทุกที
นอกจากนี้ยังสยายปีกไปยังธุรกิจเกี่ยวเนื่องอีกมาก ทั้งนี้ก็เพื่อความอยู่รอดในอนาคต
แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น แม้การขยายงานจะเป็นผลดี แต่บางครั้งและบางช่วงโอกาส
ก็อาจจะเกิดผลเสียที่คาดไม่ถึงได้ ดังเช่นการดำเนินงานช่วง 1 ปีจนถึงล่าสุดที่บริษัทต้องขาดทุนมากมาย
ในรอบครึ่งปีแรก 2538 นี้บริษัทผาแดงอินดัสทรี แม้จะมีกำไรสุทธิ 97.20 ล้านบาท
แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2537 จะพบว่าเป็นกำไรที่ลดลงถึง 36.76%
ประกอบสำคัญเมื่อนำผลประกอบการของบริษัทย่อยมารวมจะเห็นว่าในครึ่งปีแรกนี้บริษัทขาดทุนถึง
117.12 ล้านบาท ขณะที่ระยะเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 106.72 ล้านบาท
บริษัทย่อยเกือบทั้งหมดของผาแดงประสบปัญหาขาดทุนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นผาแดง
พร็อพเพอร์ตี้ ขาดทุน 62.15 ล้านบาท, ผาแดง พุงซาน ขาดทุน 63.25 ล้านบาท
และภูเทพ ขาดทุน 2.68 ล้านบาท
ในยุคปลายของประวิทย์ดูเหมือนว่า ผาแดงจะอับแสงเต็มที
ขณะที่ ผาแดงยังคงมีทิศทางที่ไม่สดในนัก ประวิทย์กลับจะผละไป เพื่อเข้าไปปรับปรุงหรืออาจกล่าวได้ว่าฟื้นฟูอีกกิจการหนึ่ง
โครงการกาดสวนแก้วของ "สุชัย เก่งการค้า" ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่
คือ กิจการที่ประวิทย์จะเข้าไปดูแลในฐานะประธานกรรมการ นับจากเดือนพฤศจิกายน
2538
"การเข้าไปปรับปรุงกิจการกาดสวนแก้วครั้งนี้ นับเป็นการช่วยเหลือ สุชัย
ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชายของ ประวิทย์ มากกว่าเหตุผลเป็นอย่างอื่น" ผู้ใกล้ชิดประวิทย์กล่าว
การปรับโครงสร้างการบริหารงานของกาดสวนแก้วจะมีขึ้นอย่างแน่นอนหลังจากประวิทย์เข้ามารับตำแหน่ง
โดยก่อนหน้านี้ สุชัยในฐานะหุ้นส่วนใหญ่ จะเป็นผู้ดูแลเองทั้งหมด ทุกเรื่อง
แต่ด้วยความเป็นผู้บริหารที่มีอารมณ์ศิลปินเต็มตัว จึงเป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างรายได้จากงานที่ลงทุนไป
จนถึงปัจจุบัน "กาดสวนแก้ว" มีขาดทุนสะสมสูงถึงเกือบ 637 ล้านบาท
ซึ่งเป็นการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง และสูงขึ้นทุกปีด้วยเหตุนี้จึงต้องการผู้เข้ามากอบกู้
"เมื่อคุณสุชัยได้ผู้ที่ไว้วางใจเข้ามาดูแลกิจการทั้งหมด ทั้งโรงแรมปางสวนแก้ว
โรงละครและศูนย์การค้า ตัวเองก็คงจะปลีกไปดูแลงานด้านโปรดักชั่นที่ถนัดเพียงอย่างเดียว
ส่วนการสร้างรายได้จากสิ่งที่มีอยู่คงเป็นเรื่องของทีมบริหารใหม่ที่จะเข้ามา"
แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดกล่าว
ปัญหาเร่งรีบที่ประวิทย์จะต้องเข้าไปจัดการกับกิจการการสวนแก้วในขณะนี้ซึ่งคนเชียงใหม่ได้ยินได้ฟังมาก็คือ
ปัญหาเรื่องบุคลากร โดยเฉพาะผู้บริหารระดับกลาง ที่ระยะหลังเหลืออยู่น้อยและอีกปัญหาที่สำคัญที่สุด
คือการกอบกู้สถานการณ์ด้านการเงินที่แย่อยู่มากให้คล่องตัวขึ้น ไม่เช่นนั้นทุกอย่างอาจจบสิ้น
การลาออกของประวิทย์เพื่อไปบริหารงาน ณ ที่แห่งใหม่ ดูเหมือนจะไม่แตกต่างกันเลยในเนื้อหา
ชีวิตหลังเกษียณของ "ประวิทย์ คล่องวัฒนกิจ" ดูจะหนักหนากว่าวัยทำงานด้วยซ้ำไป