บนชั้น 20 ของอาคารสินธร 3 ที่กำลังตกแต่งโฉมพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 1,720 ตารางเมตรเป็น
"ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์กรุงเทพ" (ศ.ล.ก.) หรือที่รู้จักกันในนามตลาดโอทีซี
ประมาณปลายตุลานี้จะกลายเป็นศูนย์บัญชาการใหม่ของ ดร. พิบูลย์ ลิมประภัทร
อดีตคณะบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่สลัดคราบนักวิชาการธุรกิจสู่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการคนแรก
ตามคำชวนของ ดร. สังเวียน อินทรวิชัย ประธานกรรมการ ศ.ล.ก.
ความเป็นหนุ่มโสดวัย 54 ของ ดร. พิบูลย์ผนวกกับวัยวุฒิและคุณวุฒิปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์
รวมทั้งมีประสบการณ์เชิงธุรกิจต่าง ๆ เช่น ประธานกรรมการบริษัทเงินทุนเอราวัณทรัสต์และกรรมการบริษัทเพรสิเดนท์ไรซ์
โปรดักส์ เป็นจุดเด่นที่ทำให้ ดร. พิบูลย์สามารถแบกรับภารกิจสร้างตลาดโอทีซีได้เต็มที่
แม้ตลาดโอทีซีจะเกิดช้าไปสิบปี แต่นับว่ายังไม่สายเกินไป เพราะตลาดหุ้นไทยในพอศอนี้พร้อมรับแนวความคิดเรื่องตลาดโอทีซีแล้ว
นับจากการผลักดันอย่างหนักยุควิโรจน์ นวลแข ประธานคณะทำงานเรื่องนี้ จนถึงยุคประทีป
วงศ์นิรันดร์เป็นนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์
ด้วยเงินลงขันของ 74 บริษัทสมาชิกผู้ก่อตั้งที่ยอมควักกระเป๋า "ลงทุนเพื่อซื้ออนาคต"
รายละ 7 ล้าน ก็ทำให้ทุนจดทะเบียนของตลาดโอทีซีเป็น 500 ล้านบาทเกินเกณฑ์ที่
ก.ล.ต. กำหนดไว้บวกกับเงินทุนหมุนเวียนที่ได้จากค่าบำรุงของสมาชิกอีก 300,000
บาทต่อราย ว่าแล้วก็ต่างทอฝันว่าตลาดโอทีซีจะเป็นทางเลือกใหม่ของการลงทุนที่มีอนาคตรุ่งโรจน์สดใสในอนาคต
แต่สำหรับบริษัทที่จะสมทบภายหลังวันเซ็นสัญญาเมื่อ 4 ส.ค. ที่ผ่านมา ตามระเบียบต้องจ่ายแพงขึ้นอีกจาก
7 ล้านเป็น 20 ล้าน ได้แก่บริษัทแอสเซทพลัส บงล. ลีลาธนกิจ บงล. ตะวันออกพาณิชย์ทรัสต์และ
บงล.ไทยมิตซูบิชิอินเวสเมนท์
ปัญหาเรื่องเงินจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ภารกิจหนักของ ดร. พิบูลย์หลังจากที่ร่างจัดตั้งผ่านการอนุมัติจาก
ก.ล.ต. แล้ว คือการสรรหาสินค้าคุณภาพประเภท "จิ๋วแต่แจ๋ว" เข้ามาเทรดในตลาดน้องใหม่นี้
"ขนาดของธุรกิจไม่มีกำหนด บริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 10-20 ล้าน หากมีศักยภาพเติบโตก็สามารถเข้ามาระดมทุนได้
ผมมั่นใจภายในสิ้นปีนี้จะมีหลักทรัพย์เข้ามาเทรดได้ 5-6 บริษัท ซึ่งก็น่าจะพอ
เพราะขณะนี้มีบริษัทที่ยื่นความจำนงแล้ว 15 รายโดยส่วนใหญ่เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
5-6 แห่ง" ดร.พิบูลย์เล่าให้ฟัง
เป็นที่คาดหวังว่าตลาดโอทีซีนี้จะอ้าแขนรับบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่พลาดโอกาสจะเข้าไปตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเนื่องจากคุณสมบัติต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
แต่มีทางเลือกที่จะเข้าไปจดทะเบียนในตลาดโอทีซีได้
แม้ว่าตลาดโอทีซีของไทยจะแตกต่างกับต้นแบบ NASDAQ ที่สหรัฐอเมริกาตรงที่มีปลอกคอจากมหาอำนาจ
ก.ล.ต. คุมอยู่ เมื่อบริษัทที่จะนำสินค้ามาซื้อขายต้องแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนแล้วกระจายหุ้นกับ
ก.ล.ต. ก่อนจะนำหุ้นเข้ามาขอจดทะเบียนเทรดในตลาดโอทีซีซึ่งจะใช้เวลาพิจารณาเพียง
2-3 สัปดาห์เท่านั้น โดยเกณฑ์การพิจารณาไม่ยุ่งยาก
สำหรับบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนต่ำกว่า 500 ล้านเช่นบริษัทไมโครเนติคซึ่งเลือกจะเทรดในตลาดโอทีซีหลังจากเพิ่มทุนเป็น
80 ล้าน ก็ต้องกระจายหุ้นไม่ต่ำกว่า 10% ให้กับประชาชน แต่ถ้าหากทุนจดทะเบียนเกิน
500 ล้าน ต้องยื่นกระจายหุ้น 15% และมีกรรมการอิสระ 2 คน
"มีหลายคนมองว่าหลักเกณฑ์เข้าตลาดโอทีซีโดยทางตรงแล้วดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้มงวดมากนัก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุนจดทะเบียน หรือไม่ต้องมีผลกำไรต่อเนื่อง 3 ปีแต่จริง
ๆ แล้วขั้นตอนสุดท้ายก่อนการอนุมัติจะต้องผ่านความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. หากเป็นบริษัทที่มีความเสี่ยงสูง
ก.ล.ต. ก็คงไม่อนุมัติ" จิตติมา เคหะสุขเจริญ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริษัทสมาชิกโอทีซีเล่าให้ฟัง
ก่อนหน้านี้จิตติมาเคยอยู่ฝ่ายวาณิชธนกิจของ บงล. เอกสิน
ความเสี่ยงยิ่งมาก ผลตอบแทนยิ่งสูง ตลาดโอทีซีจึงเป็นทางเลือกใหม่ ล่าสุดมีบริษัท
20 รายเสนอสินค้าเข้ามาช่วงแรก โดยเฉพาะครึ่งหนึ่ง จะเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็ก
และขนาดกลางที่ต้องแข่งขันกันหาแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำในการสะสมซื้อที่ดิน
(แลนด์แบงก์)
"สาเหตุที่กลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สนใจจะเข้าเทรดในตลาดโอทีซี
ก็คงเป็นเพราะที่ผ่านมาจนกระทั่งปัจจุบัน อุตสาหกรรมนี้ไม่ขยายตัวเท่าที่ควร
ประกอบกับหุ้นในกลุ่มที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ขาดสภาพคล่อง ทำให้ทางตลาดมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเป็นพิเศษในการรับ
ขณะที่ความต้องการทุนไปขยายธุรกิจต้องไปกู้ธนาคาร ทำให้ต้นทุนสูงตามภาวะดอกเบี้ย
ตลาดโอทีซีจึงเป็นทางออกในการระดมเงินต้นทุนต่ำที่ดีที่สุดในขณะนี้"
กรรมการผู้จัดการตลาดโอทีซีอธิบาย
ภายในสิ้นปีนี้ ภาพประวัติศาสตร์ของการเทรดในตลาดโอทีซีจะปรากฏ มีบริษัทจดทะเบียนเพียง
5 รายเข้ามาเปิดม่าน นักลงทุนจะเห็นกระดานราคาสินค้าตลาดโอทีซีในจอคอมพิวเตอร์ตามห้องค้าหุ้นของแต่ละโบรกเกอร์
โดยศูนย์ระบบคอมพิวเตอร์ใช้ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ
ระบบการซื้อขายของตลาดโอทีซีก็เป็นแบบไทย ๆ ที่ประสมประสานระบบดีลเลอร์ชิปที่ใช้
"คนทำ" กับระบบออโตแมตชิ่งที่ใช้ "เครื่อง" ทำหน้าที่จับคู่เมื่อมีคำสั่งซื้อหรือขายเข้ามา
ค่าคอมมิชชั่นก็คิดจากวอลุ่มซื้อขายแบบ "รีเกรท ซีฟ เรต" ถ้าไม่เกิน
50,000 บาทเก็บค่า 1% แต่ถ้าเกิน 50,000-200,000 บาท เรียกเก็บ 0.75% และถ้าเกินกว่า
200,000 บาทเก็บ 0.5%
ดังนั้น ผลตอบแทนเล็กน้อยจากตลาดโอทีซีระยะแรกจึงไม่ดึงดูดความสนใจของโบรกเกอร์
เพราะไม่คุ้มเมื่อเทียบกับการนำบริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
โบรกเกอร์จะได้ค่าธรรมเนียม 10-20 ล้านบาท ขณะที่จดทะเบียนในตลาดโอทีซีโดยมีขนาดทุนจดทะเบียนแค่
50 ล้าน จะได้เงินแค่ 1-2 ล้านบาทเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ขั้นตอนการเป็นที่ปรึกษาการเงินต้องทำงานหนักเท่า
ๆ กัน
ถึงกระนั้นก็ตามแต่ตลาดโอทีซีก็ต้องมีไว้เป็นทางเผื่อเลือกไว้รองรับลูกค้าที่พลาดเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ประเภทเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน ซึ่งในอนาคตเบี้ยเล็ก ๆ ที่วันนี้อาจดูด้อยค่าอาจพลิกผันเป็นเบี้ยทองคำ
ดังเช่นแอปเปิลคอมพิวเตอร์เคยอาศัยช่องทางระดมทุนจากตลาดโอทีซี NASDAQ แล้วรุ่งโรจน์เป็นยักษ์ใหญ่ด้านคอมพิวเตอร์ฉะนั้นยิ่งตลาดโอทีซีเกิดขึ้นได้เร็วเท่าใด
โอกาสที่ปลาเล็กจะมีโอกาสเกิดและเติบโตเป็นปลาใหญ่ยิ่งมีมากเท่านั้น !!