"โทนี่" ในที่นี้คือชาติศิริโสภณพนิชและ "ปั้น" ก็คือบัณฑูร
ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของแบงก์กรุงเทพและแบงก์กสิกรไทยตามลำดับ ทั้งสองคนนั้นอาจจะถูกมองอย่างริษยาว่าต่างก็เกิดมาบนกองเงินกองทอง
เพราะทั้งสองนามสกุลนั้นหลายคนแปลว่า "เงิน" หรือ "รวย"
แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็ต้องบอกว่าต้องเห็นใจเขาทั้งคู่ เนื่องจากแม้จะเกิดบนกองเงินกองทอง
หากทว่าต้องแบกรับภาระที่หนักอึ้งยิ่งนัก ทันทีที่เกิด ต่างก็ถูกคาดหวังจากบุพการีว่าจะสานสร้างงานที่คุณพ่อชาตรี
โสภณพนิชและคุณพ่อบัญชา ล่ำซำให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น ด้วยฝีมือและความสามารถไม่ใช่เพราะนามสกุล
เจตนาในการเขียนถึงโทนี่และปั้นครั้งนี้อาจจะพูดได้ว่าไม่ต้องการเล่าเรื่องประวัติการเรียนหรือการทำงาน
เพียงอยากจะสื่อสารความเป็นมนุษย์ของทั้งสองหนุ่ม ส่วนเรื่องอื่นนั้นเท่าที่ค้นข้อมูลมาก็เขียนกันเยอะแล้วหลายเล่มหลายฉบับเอามาลอกต่อก็เป็นการเอาเปรียบผู้อ่านเกินไป
โทนี่เป็นคนที่ภายนอกสุภาพอ่อนโยนขยันขันแข็ง วันเสาร์ยังมาทำงานที่แบงก์กรุงเทพและมักจะมาเช้ากว่าคนอื่นเหมือนคุณชาตรี
โสภณพนิช ที่เขียนแบบนี้ไม่ใช่จะบอกว่าภายในของโทนี่ไม่ดี แต่จริง ๆ แล้วโทนี่เป็นคนที่แข็งมาก
เชื่อมั่นในตัวเองสูง ครั้งหนึ่งเคยไปนั่งในห้องของพีระพงศ์ ถนอมพงษ์พันธ์สมัยที่ยังเป็นผู้จัดการสำนักค้าเงินตราของแบงก์กรุงเทพ
หรือ รมช. กระทรวงคมนาคมในปัจจุบัน
เผอิญวันนั้นแต่งตัวดีหน่อยคล้าย ๆ กับพนักงานของแบงก์โทนี่จึงไม่ระแวงสงสัย
พีระพงศ์แม้จะไม่ยอมพูดว่าตัวเป็นอาจารย์ของโทนี่ ในทางปฏิบัติแล้วน่าจะใช่ไม่มากก็น้อย
วันนั้นนั่งฟังโทนี่โต้เถียงกับพีระพงศ์อยู่เกือบครึ่งชั่วโมงเกี่ยวกับการถือครองเงินตราต่างประเทศประเภท
OVER NIGHT พีระพงศ์ก็พยายามชี้แจงให้โทนี่เข้าใจว่าสิ่งที่โทนี่คิดนั้นมันไม่ถูกต้อง
แต่โทนี่ก็ยังยืนกรานความคิดเห็นของตัวเองและคำพูดของโทนี่ประโยคหนึ่งที่ไม่เคยลืมเลยก็คือ
"งั้นผมจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณพ่อ"
โดยตัวของโทนี่เองแม้ไม่มีนามสกุลโสภณพนิชก็ต้องประสบความสำเร็จในชีวิตอยู่แล้ว
เพราะเป็นคนเรียนเก่ง และขยันตลอดเวลาเหมือนคุณพ่อและคุณปู่ชิน ไปเรียนสหรัฐฯ
จบปริญญาด้านวิศวกรรมศาสตร์เคมีในระดับเกียรตินิยม ความสนใจด้านวิศวฯ ยังไม่จบสิ้นจึงไปเรียนต่อปริญญาโทที่
MIT แถมยังได้ MBA จากสถาบันแห่งเดียวกันด้วย
เคยตั้งข้อสังเกตกับชาตรี โสภณพนิชเมื่อครั้งไปสัมภาษณ์ที่บ้านพร้อมครอบครัวครบหน้าตาว่า
ทำไมลูกทุกคนไม่ว่าจะเป็นชาติศิริ สาวิตรี ชาลีและสุชาดาถึงต้องเรียน MBA
กันหมด ชาตรีก็ตอบว่าเรียน MBA นั้นไปทำอะไรก็ได้...ทำได้ทุกอย่าง
แต่ความแตกต่างของโทนี่ก็คือเขาสมัครใจไปเรียนต่างประเทศเอง ส่วนสาวิตรีกับชาลีนั้น
ชาตรีเล่าให้ฟังว่าที่ส่งไปเรียนระดับปริญญาตรีที่เมืองนอกเนื่องจากมีข่าวคราวว่าจะมีการจับตัวไปเรียกค่าไถ่
จึงต้องส่งไป ส่วนสุชาดาน้องนุชสุดท้องที่อ้อนพ่อเก่งถูกอารักขาไว้เมืองไทย
ย้อนมาทางด้านของปั้นบ้าง ปั้นที่รู้จักมาเป็นคนที่มีสุนทรียะด้านศิลปะมากคนหนึ่ง
จำได้ว่าปั้นเคยมางานประจำปีของผู้จัดการซึ่งครั้งนั้นเชิญศิลปินโซปราโนแซกโซโฟนอันดับต้น
ๆ ของเมืองไทยคือเทวัญ ทรัพย์แสนยากรมาสร้างความสุขความบันเทิงให้กับผู้ร่วมงาน
ปั้นติดอกติดใจจนอยู่ร่วมงานเกินเที่ยงคืน
เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะคนที่ติดตามวงการเงินก็คงรู้ว่าปั้นนั้นเขาชอบดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ
โดยเวลาว่างเขาก็ชอบสีซอสามสายอยู่แล้ว อีกทั้งคุณพ่อบัญชา ล่ำซำที่ล่วงลับไปแล้วก็ชอบงานศิลปะ
จนกระทั่งแบงก์กสิกรไทยเป็นแหล่งสะสมงานศิลปะของศิลปินชั้นนำของเมืองไทยแห่งหนึ่ง
เรียกได้ว่าเป็นลูกไม้ที่ไม่ใช่ลูกยางถึงหล่นไม่ไกลต้น
เมื่อปั้นรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ที่คุณอาบรรยงค์ ล่ำซำเปิดไฟเขียวให้
ก็แสดงฝีมือด้วยการรีเอนจิเนียริ่งแบงก์กสิกรไทยจนโด่งดังไปทั้ววงการ ซึ่งปั้นไปร่ำเรียนจากฝรั่งคนหนึ่งไมเคิล
แฮมเมอร์ ที่ไปเปิดหลักสูตรที่ฮาวาย และต่อมาก็เอาฝรั่งคนนั้นมาพูดที่เมืองไทย
มีคนสนใจเข้าฟังอย่างเนื่องแน่น หากทว่าความสำเร็จของปั้นก็คือเอาไอเดียของฝรั่งมาปรับใช้
อย่างได้ผลเท่าที่ได้ยินได้ฟังมา บริการของแบงก์กสิกรไทยที่เดิมก็ดีอยู่แล้ว
ได้รับคำชมเชยว่าดีมากขึ้น ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงคนนี้
หากโลกของวิญญาณมีจริงคุณพ่อบัญชา ล่ำซำก็คงมองมาที่ลูกด้วยความชื่นชม ส่วนคุณพ่อชาตรี
โสภณพนิชก็คงหมดห่วงกับแบงก์กรุงเทพภายใต้การนำของโทนี่ที่เป็นอภิชาติบุตรสืบสายลวดลายมังกรต่อไป