นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย
เปิดเผยว่า ได้มีโอกาสเดินทางไปโรดโชว์ในต่างประเทศร่วมกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
โดยในฐานะตัวแทนของกลุ่มธุรกิจสถาบันการเงิน โดยในการโรดโชว์ดังกล่าว ปรากฏว่าภาคสถาบันการเงินได้รับความสนใจจาก
กองทุนต่างประเทศเป็นอันดับที่ 2 รองจากบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน)ที่เป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ที่มีกองทุนต่างประเทศสนใจมากเป็นอันดับที่ 1 มีจำนวนมากกว่า 36 กองทุน เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศกำลังมองถึงการฟื้นตัวของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยดีขึ้น
รวมทั้งยังมีแรงสนับสนุนจากรัฐบาลที่จะช่วยภาคธุรกิจดังกล่าว
ส่วนภาคสถาบันการเงินนั้น ได้มีจำนวนกองทุนต่างประเทศสนใจประมาณ 28 กองทุน โดยส่วนใหญ่จะมองถึงภาครวมของเศรษฐกิจไทยที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
และภาคสถาบันการเงินถือว่าเป็นภาคหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนเศรษฐกิจ ซึ่งคำถามส่วนใหญ่จะเป็นภาพกว้างถึงการปรับตัวของสถาบันการเงิน
รวมถึงถามเรื่องฐานะของสถาบันการเงิน ขณะนี้มีความเข้มแข็งระดับหนึ่งสามารถเดินหน้าทำธุรกิจต่อไปได้
และสถาบันการเงินเริ่มมีกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่องแล้ว ส่วนประเด็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)นั้น
ถือว่าเป็นปัญหาที่จะต้องเร่งแก้ไขต่อไป แต่นักลงทุนต่างชาติมองว่าไม่ใช่ปัญหาหลักแล้ว
ชี้ 2 -3 ปี สถาบันการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ
กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวต่อไปว่า ภาคสถาบันการเงินไทยได้มีการปรับเปลี่ยนระดับหนึ่งแล้ว
ซึ่งเชื่อว่าได้หลุดพ้นภาวะวิกฤต ซึ่งส่วนใหญ่มาจากภาพรวมเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น
ทำให้การดำเนินธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ขยายตัว โดยคาดว่าภาคสถาบันการเงินจะทยอยปรับเข้าสู่ภาวะปกติได้อีกประมาณ
2-3 ปีข้างหน้านี้
สำหรับธนาคารกรุงเทพ นั้น ธนาคารมีอัตราการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้
โดยตั้งเป้าหมายที่จะขยายสินเชื่อ 2% จากในช่วง ที่ผ่านมาสินเชื่อของธนาคารปล่อยได้
80,000-100,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 3.3 % คิดเป็นสินเชื่อสุทธิในปีที่ผ่านมาคือ
40,000-50,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ธนาคารมีเป้าหมายที่ที่จะแก้ไขเอ็นพีแอลประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท
จากปัจจุบันที่มีเอ็นพีแอลประมาณ 24% หรือประมาณ 2 00,000 ล้านบาทเมื่อมีการปรับโครง
สร้างหนี้ได้ตามเป้าหมายจะส่งผลให้เอ็นพีแอลของธนาคารลดลงเหลือ 20%
เศรษฐกิจปีนี้โต 3-5%
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในปีนี้
จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะขยายตัวในระดับ3-5 % เนื่องจากได้รับแรงส่งจากการขยายตัวของภาคธุรกิจส่งออกเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้การบริโภคภายในประเทศที่มีเพิ่มขึ้น ดังนั้นจะยังเป็นภาคที่สนับสนุนเศรษฐกิจต่อไป
ในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของประเทศมีการขยายตัวในระดับสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีภาคการส่งออกเป็นตัวนำ
เนื่องจากสหรัฐฯนำเข้าสินค้าในอัตราที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการบริโภคในไทยเพิ่มขึ้น
ซึ่งได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นความต้องการในประเทศของภาครัฐ ทำให้เศรษฐกิจในประเทศมีอัตราการขยายตัวในระดับ
5%
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของสหรัฐยังมีความไม่แน่นอน ดังนั้น ในปีนี้จะหวังพึ่งการส่งออกไปสหรัฐเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้และกำลังซื้อของต่างประเทศจะมีอย่างต่อเนื่องในปีนี้หรือไม่นั้นยังเป็นความเสี่ยงอยู่
อีกทั้งหากมีเหตุการณ์ในสหรัฐก็จะมีผลกระทบต่อไทย เนื่องจากเป็นกำลังซื้อสินค้าสำคัญของประเทศ
ดังนั้นในปีนี้การขยายตัวเศรษฐกิจคาดว่าจะอาศัยการบริโภคในประเทศเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อน
และเชื่อว่าความต้องการซื้อสินค้าจะมีต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา
นายโฆสิต กล่าวอีกว่า ในปีที่แล้ว เป็นปีแรกที่เห็นการปรับตัวด้านโครงสร้างของภาคเอกชนอย่างชัดเจน
สามารถยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการในไทย และเป็นพื้นฐานต่อไปในอนาคต
โดยเฉพาะในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) แต่สิ่งสำคัญคือการรักษาความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องได้จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจมีความต่อเนื่องเช่นกัน
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวถึงผล การแสดงข้อมูลในต่างประเทศ
ว่า นักลงทุน ต่างประเทศได้ให้ความสำคัญกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยมากที่สุด
เนื่องจากจะเกี่ยวโยงกับความสามารถในการสร้างรายได้ในอนาคต ซึ่งได้ชี้แจงว่า เศรษฐกิจของไทยปรับตัวจากเดิมมากเป็นที่สนใจของชาวต่างประเทศ
ทั้งการลงทุนในหุ้นหรือตลาดต่างๆ ถ้าสามารถพัฒนาและรักษาการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้
จะช่วยให้การลงทุนมีมากขึ้น ถือเป็นสิ่งที่ดีต่อตลาดเอง เพื่อให้บริษัทต่างๆ มีการขยายการลงทุนมากขึ้นและบริษัทจะมีความแข็งแรง
ซึ่งขณะนี้ก็มีหลายบริษัทมีผลประกอบการออกมาดี เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุน โดยเฉพาะภาค
การผลิตและบริการ