Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ธันวาคม 2538








 
นิตยสารผู้จัดการ ธันวาคม 2538
"ห้างคาเธ่ย์ โอกาสปรับตัวไม่มีอีกแล้ว"             
โดย เดือนเพ็ญ ลิ้มศรีตระกูล
 


   
search resources

คาเธ่ย์ ดีพาร์ทเมนท์สโตร์
ชูชาติ กมลวิศิษฐ์
พรเทพ รุ่งเพชรมณี
Commercial and business




แม้ "กมลวิศิษฐ์" จะตระหนักว่า พวกเขาเป็นเพียง "รายเล็ก" ในสนามค้าปลีกที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดโดยยักษ์ใหญ่ไม่กี่ราย พวกเขาก็สร้าง "ห้างคาเธ่ย์" ให้เป็นห้างเล็ก ๆ ที่สามารถยืนอยู่ได้ด้วยปัจจัยเฉพาะตัวมาถึง 15 ปี แต่ในที่สุด "กมลวิศิษฐ์" ก็หลีกเลี่ยงความจริงไปไม่พ้น เมื่อ 4 สาขาจำเป็นต้องยุบเหลือเพียงสาขาเดียว นี่คือบทเรียนของรายเล็กที่ไม่ทันกับการปรับตัว หรือมิฉะนั้นต่อให้ปรับตัวแล้วก็ไม่ทันกับการรุกอย่างถล่มทลายของรายใหญ่อยู่ดี !

ก่อนที่เจนเนอเรชั่นที่ 2 ของ "กมลวิศิษฐ์" จะเริ่มทำธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่แบบ "ห้างสรรพสินค้า" เต็มรูปเมื่อสิบกว่าปีก่อน "เจริญ กมลวิศิษฐ์" ซึ่งเป็นต้นตระกูลได้เปิดร้านขายปลีก "คลังภูษา" ของเขาขึ้นเมื่อ 30-40 ปีที่แล้วในย่านเยาวราช ที่นี่เปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยชีวิตที่ทำให้วิโรจน์และชูชาติ บุตรชายคนที่ 4 และ 6 ของเขา หันเหเส้นทางชีวิตเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกในชื่อ "คาเธ่ย์ ดีพาร์ทเมนท์สโตร์" ในเวลาต่อมา

ธุรกิจดั้งเดิมของตระกูล "กมลวิศิษฐ์" คือธุรกิจเสื้อผ้า พวกเขาเติบใหญ่จนกลายเป็นผู้ค้าปลีกยีนส์ที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในนามบริษัท ฮาร่า ประเทศไทย จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกางเกงยีนส์ฮาร่า, บิ๊กจอนห์, จอร์แดช

เส้นทางการเริ่มต้นของ "กมลวิศิษฐ์" อาจไม่แตกต่างจากลุ่มโรบินสันที่มีรากฐานมาจากธุรกิจเสื้อผ้าเหมือนกัน แต่บทสรุปในธุรกิจค้าปลีกและห้างสรรพสินค้ากลับแตกต่างกันสิ้นเชิง

คาเธ่ย์ ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ สาขาแรก คือ สาขาเยาวราช เปิดดำเนินการเมื่อปี 2523 หลังจากนั้นประมาณ 3 ปี สาขาวงเวียนใหญ่ก็เปิดดำเนินการ ติดตามมาด้วย สาขาบางแค และสาขาหลักสี่ ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการหลักสี่พลาซ่า เมื่อกลางปี 2534

แต่ละสาขาที่ "กมลวิศิษฐ์" ไปเปิดห้างคาเธ่ย์นั้น ล้วนมีจุดขายของตัวเองทั้งสิ้น โดยคาเธ่ย์จะเน้นกลุ่มลูกค้าจากกลางลงล่าง และเน้นความเป็นห้างขนาดเล็กที่เจาะเข้าไปยังพื้นที่ชุมชนที่ยังไม่มีห้างอื่น ๆ เข้าไป ซึ่งนับเป็นจุดเด่นในการขยายตัวของคาเธ่ย์

คาเธ่ย์ สาขาเยาวราชถือเป็นสาขาที่ประสบความสำเร็จมากของ "กมลวิศิษฐ์" และเป็นต้นแบบที่ดีที่สุดสำหรับสาขาอื่น ๆ ในเวลาต่อมา โดยเฉพาะในย่านเยาวราชนั้นแทบจะไม่มีห้างสรรพสินค้าอยู่เลย และโอกาสที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จะเข้าไปลงนั้นยากเต็มที

ขณะที่สาขาวงเวียนใหญ่ "กมลวิศษฐ์" ก็เข้าไปบุกเบิก โดยอาศัยที่ช่วงนั้นวงเวียนใหญ่ถือได้ว่าเป็นย่านขายยีนส์ราคาถูกที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นตลาดที่ "กมลวิศิษฐ์" ชำนาญอยู่แล้ว อีกทั้งด้านบนของห้างก็เป็นโรงภาพยนตร์ที่มีชื่อและใหญ่แห่งหนึ่งในย่านฝั่งธนฯ และมีกลุ่มเป้าหมาย เดียวกับห้างคาเธ่ย์พอดี

2 สาขานี้มีอายุยืนยาวและเป็นสาขาที่ทำรายได้ให้กับตระกูล แต่สำหรับ 2 สาขาหลังกลับกลายเป็นความผิดพลาด

ถ้าดูจำนวนการขยายสาขาของห้างสรรพสินค้าขนาดเล็กอย่างคาเธ่ย์ ที่สามารถขยายได้ 4 สาขาภายใน 11 ปี ก็ต้องถือได้ว่าทำได้ดีพอสมควรทีเดียว ถ้าไม่ล้มเหลวในแง่ของการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดเสียก่อนในช่วง 2 ปีหลัง คาเธ่ย์คงไม่ต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่เมื่อวัย 15 ขวบอย่างทุกวันนี้ ไฟไหม้หลักสี่ จุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์

คาเธ่ย์ ที่หลักสี่พลาซ่า ถือเป็นจุดเปลี่ยนของเครือ เมื่อเป็นสาขาที่มีขนาดใหญ่และเริ่มปรับภาพพจน์ให้อยู่ในระดับกลางไม่ลงตลาดล่างมากเกินไป

ว่ากันว่าคาเธ่ย์ที่หลักสี่พลาซ่ากำลังเริ่มไปได้ ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุเสียก่อน

ปลายเดือนเมษายน 2536 คาเธ่ย์สาขาหลักสี่ ซึ่งเป็นสาขาที่เกิดจากการร่วมลงทุนระหว่างคาเธ่ย์ ดีพาร์ทเมนท์สโตร์และบริษัท บูรณะ(กรุงเทพฯ) จำกัด เจ้าของโครงการหลักสี่ พลาซ่า ในสัดส่วน 50 : 50 ของเงินลงทุน 400 ล้านบาท ต้องหยุดกิจการลงชั่วคราว เพราะถูกไฟไหม้ ทั้ง ๆ ที่ยังเปิดดำเนินการได้ไม่ครบ 2 ปี

คงไม่มีใครคิดมาก่อนว่า ผลพวงของไฟไหม้จะทำให้คาเธ่ย์สาขานี้ต้องปิดดำเนินการอย่างถาวรในที่สุด

หลังจากไฟไหม้ คาเธ่ย์ประกาศว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้อีกครั้งในวันที่ 1 มิถุนายน 2536 ทั้งยังถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ทำการปรับพื้นที่ในห้างบางส่วนไปในตัว ด้วยการยกสินค้าตัวที่รายได้ให้ห้างน้อยออกไป (ซึ่งมีประมาณ 10%) เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กับสินค้าที่ทำรายได้ให้ห้างสูงแทน

ปลายเดือนกันยายน 2536 คาเธ่ย์หลักสี่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดให้บริการ ถึงตอนนี้ผู้บริหารของศูนย์การค้าหลักสี่ พลาซ่าเริ่มมีความคิดที่จะเจรจาขอพื้นที่คืน เพื่อให้ห้างสรรพสินค้ารายอื่นมาเปิดดำเนินการแทน แต่ฝ่ายคาเธ่ย์ไม่ยอม โดยอ้างว่าที่ยังไม่สามารถเปิดบริการได้เนื่องจากยังเคลียร์เรื่องประกันไม่เรียบร้อย

ต้นปี 2537 หลังจากขู่ตัดขาดคาเธ่ย์มานาน บริษัท บูรณะ(กรุงเทพฯ) ได้กำหนดเส้นตายให้คาเธ่ย์เปิดดำเนินการในไตรมาสแรก ขณะเดียวกันก็มีแนวคิดที่จะยุติความสัมพันธ์กับคาเธ่ย์ แต่ติดปัญหาที่คาเธ่ย์ทำสัญญาการเช่าพื้นที่กับหลักสี่พลาซ่าไว้นานถึง 20 ปี

ถึงวันนี้คาเธ่ย์ หลักสี่ก็ยังไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ และเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าต้องยุติการดำเนินงานตลอดไป เพราะเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นายชัยณรงค์ ธนสถิตยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บูรณะ(กรุงเทพฯ) ได้ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการว่า คณะกรรมการบริษัทได้ตัดสินใจปิดกิจการห้างสรรพสินค้าคาเธ่ย์ที่ตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าหลักสี่พลาซ่า โดยจะเร่งรัดจัดการสะสางหนี้สินของห้างคาเธ่ย์สาขานี้ ซึ่งใช้ชื่อบริษัท หลักสี่ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัด ที่มีอยู่ประมาณ 110 ล้านบาท ให้เรียบร้อยโดยเร็ว

หนี้สินจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นหนี้สินจากเงินที่กู้กับบริษัท เงินทุนหลักทรัพย์ อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ประมาณ 70 ล้านบาท และหนี้สินจากค่าเสียหายของสินค้าที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งติดค้างซัพพลายเออร์อยู่ประมาณ 40 ล้านบาท ซึ่งบริษัทประกันภัยได้ชดใช้มาให้แล้ว 70 ล้านบาท

"บริษัทมีความพร้อมที่จะสะสางหนี้แล้ว รอเพียงกลุ่มห้างคาเธ่ย์เท่านั้น แต่คาดว่าไม่เกินต้นปีหน้าจะจัดการได้เสร็จสิ้นหลังจากนั้นจะจดทะเบียนล้มเลิกบริษัทหลักสี่ต่อไป" นายชัยณรงค์กล่าว

งานนี้ไม่มีคำอธิบายจากปากชูชาติ กมลวิศิษฐ์ กรรมการผู้จัดการของกลุ่มคาเธ่ย์แต่อย่างใดว่า ทำไมคาเธ่ย์ หลักสี่จึงประสบชะตากรรมเช่นนี้

"ผมว่าคาเธ่ย์ค่อนข้างโชคร้าย เพราะช่างที่สาขาหลักสี่ ซึ่งเป็นสาขาที่ทำยอดขายได้ในระดับที่น่าพอใจถูกไฟไหม้เป็นช่วงเดียวกับที่ชูชาติ กรรมการผู้จัดการบริษัทกำลังพยายามปรับปรุงตัวเพื่อกู้สถานการณ์ของคาเธ่ย์บางแค ซึ่งเริ่มมีคู่แข่งรายใหม่ ๆ เปิดดำเนินการมากขึ้นคืน เพราะสาขานี้เป็นการลงทุนของชูชาติและคนในตระกูลกมลวิศษฐ์เองจึงปล่อยปัญหาของคาเธ่ย์ หลักสี่ไว้จนเรื้อรัง" คนใกล้ชิดกับตระกูลกมลวิศิษฐ์วิเคราะห์ให้ฟัง

คาเธ่ย์ บางแค พบจุดจบ ชูชาติยกธงขาว

แต่ความตั้งใจของชูชาติที่จะรักษาคาเธ่ย์ บางแคไว้ก็ไม่เป็นผล เพราะในที่สุดก็ต้องปล่อยให้พี่สาวและพี่เขย คือนางศรีจันทร์ และนายกัมพล ชาติธรรมรักษ์ เจ้าของบริษัท รอซโซ่ จำกัด เข้ามาเทคโอเวอร์ไปในราคา 200 ล้านบาท

หลังจากที่ต้องแบกรับภาระการขาดทุนมา 2-3 ปี !

คาเธ่ย์ บางแค เปิดให้บริการในช่วงปี 2532 ภายใต้การบริหารงานของบริษัท บางแค ดีพาร์ทเมนต์สโตร์ ที่นี่ถือว่าเป็นห้างสรรพสินค้าที่สมบูรณ์แบบที่สุดของตระกูล "กมลวิศิษฐ์" และเป็นสาขาเดียวที่เป็นสินทรัพย์ของคาเธ่ย์เองทั้งหมด

ในช่วงแรกที่เปิดดำเนินการคาเธ่ย์บางแคประสบความสำเร็จ จนเรียกได้ว่าเป็นสาขาที่ทำรายได้ให้กับคาเธ่ย์มากที่สุด เพราะอยู่บนทำเลที่ไม่มีคู่แข่ง

แต่ต่อมาเมื่อต้องเผชิญกับการแข่งขันกับเดอะ มอลล์ บางแค, ฟิวเจอร์ ปาร์ค และเซฟโก้ ซึ่งทะยอยกันเปิดในละแวกเดียวกันในช่วงหลัง สภาพการค้าปลีกในย่านบางแคเริ่มเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับสถานการณ์ของคาเธ่ย์ บางแคก็มาถึงจุดพลิกผัน เมื่อลูกค้าของคาเธ่ย์ถูกห้างอื่น ๆ ดึงดูดไปตลอดเวลา

อย่างไรก็ดีคาเธ่ย์พยายามปรับตัวสู้ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายจากที่มุ่งลูกค้าระดับสูงเบนเข็มลงมาที่กลางและล่าง พร้อมกับยกสินค้าที่เป็นแบรนด์อินเตอร์ออกไป แล้วปรับพื้นที่ชั้น 2 เป็นมินิพลาซ่าให้ร้านค้าย่อยเช่าและเซ้ง ในขณะเดียวกันก็ขยับส่วนของสำนักงานคาเธ่ย์ที่ตั้งอยู่บนชั้น 5 ขึ้นไปชั้น 6 เพื่อเปิดที่ว่าง 1,200 ตารางเมตรเป็นพื้นที่ให้เช่า

นอกจากนี้ยังใช้วิธีดึงลูกค้าด้วยการทำบัตรสมาชิก บริการส่งสินค้าถึงบ้านเมื่อซึ้อครบ 1,000 บาท รวมทั้งพยายามขยายพื้นที่ห้าง โดยเจรจาซื้อที่บริเวณด้านข้างซึ่งบดบังหน้าห้างให้ดูคับแคบและบริเวณทางเข้าไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร

แต่ความพยายามของคาเธ่ย์ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องมาจาก หนึ่ง-ศูนย์การค้าและห้างใหญ่ ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง ดึงลูกค้ากลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงที่อาศัยอยู่ในย่านนั้นและเคยเป็นลูกค่าของคาเธ่ย์ไปเกือบหมด

สอง-แม้ว่าจะมีความพยายามปรับรูปแบบใหม่ แต่ก็ไม่สามารถทำได้เต็มที่เพราะการเจรจาให้ซัพพลายเออร์ถอนสินค้าออกไปมีความยุ่งยาก ประกอบกับการเปลี่ยนห้างมาเป็นพลาซ่าทำให้คาเธ่ย์กลายเป็นหลายห้างที่ไม่มีจุดเด่นพอที่จะดึงดูดลูกค้ากลุ่มใด ๆ เลย

ที่สำคัญ คือ คาเธ่ย์ต้องใช้เม็ดเงินอีกหลายสิบล้านเข้ามาใช้ในการเปลี่ยนแปลงซึ่งหากอยู่ในช่วงปกติก็คงไม่มีปัญหา แต่เหตุการณ์นี้มาเกิดขึ้นในช่วงที่เป็นวิกฤตการณ์ของคาเธ่ย์พอดี

เพราะนอกจากคาเธ่ย์ หลักสี่จะต้องปิดกิจการ เนื่องจากไฟไหม้แล้ว สาขาที่วงเวียนใหญ่ก็ประสบมรสุม เพราะที่นี่ค่าเธ่ย์ต้องเผชิญกับการแข่งขันกับเมอรี่คิงส์วงเวียนใหญ่และเซ็นทรัล ลาดหญ้า ที่มาอย่างใหญ่กว่า สมบูรณ์กว่ามาก นอกจากนี้ยังมีแผงลอยขายเสื้อผ้าริมถนนคอยแย่งลูกค้ากำลังซื้อต่ำในย่านนั้นอีกด้วย

จนคาเธ่ย์ สาขาวงเวียนใหญ่ต้องปิดกิจการลงในปลายปี 2537 เพราะผลที่ได้รับไม่คุ้มกับการลงทุน ต้องปล่อยให้ เอดิสัน ซูเปอร์สโตร์เข้ามาเปิดดำเนินการแทน

เรียกว่าช่วงนั้น รายได้หลักด้านค้าปลีกของคาเธ่ย์มาจากสาขาเยาวราช ซึ่ง วิโรจน์ กมลวิศิษฐ์ พี่ชายเป็นผู้ดูแลเพียงแห่งเดียว ชูชาติจึงไม่พร้อมที่จะลงทุนกับบางแคต่อ

"กลยุทธ์การตลาดที่ทุกห้างนำมาแข่งขันกันจะเป็นเรื่องของราคาป็นหลักใหญ่ ห้างเล็กอย่างคาเธ่ย์ไม่มีงบประมาณพอเพียงที่จะใช้แคมเปญนี้ได้ตลอดเวลา เป็นผลให้ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย" นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่คาเธ่ย์ บางแคอยู่ไม่ได้"

"กางเกงในรอซโซ่ ผู้ขี่ม้าขาวมาช่วย"

ในที่สุด ชูชาติ กมลวิศิษฐ์ ซึ่งรับผิดชอบห้างคาเธ่ย์ บางแคและมีบทบาทในการขยายตัวมากที่สุดก็ต้องถอยร่นและปิดกิจการห้างคาเธ่ย์ บางแค

ผู้มาช่วงเหลือชูชาติก็คือ พี่สาวและพี่เขยของเขานั่นเอง ซึ่งทั้งคู่ก็อยู่ในธุรกิจเสื้อผ้าเช่นเดียวกัน เครื่องแต่งกายที่มีชื่อของเขาทั้งสองคือกางเกงใน "รอซโซ่"

นายกัมพล ชาติธรรมรักษ์ ประธานกรรมการบริษัท รอซโซ่ จำกัด เปิดเผยว่าเมื่อต้นปี 2538 บริษัทได้รับการทาบทามจากเจ้าของคาเธ่ย์ให้ช่วยซื้อกิจการห้างคาเธ่ย์ บางแค ซึ่งประสบปัญหาขาดทุนมาตลอด 2-3 ปี เนื่องจากภาวะการแข่งขันของห้างสรรพสินค้ามีความรุนแรงมากขึ้น แต่บริษัทขอเวลาทำการศึกษาและวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในย่านบางแคและบริเวณใกล้เคียง 3 เดือน

จากการศึกษาวิจัยทุกแง่มุมสรุปได้ว่าบางแคเป็นแหล่งชุมชนที่หนาแน่นในย่านฝั่งธน ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นระดับกลางล่าง ที่จะมาใช้บริการตลาดสดในวันธรรมดาและมากเป็นพิเศษในวันหยุด

นอกจากนี้ยังพบว่าเป็นย่านที่มีร้านขายอาหารอร่อย ๆ และมีคุณภาพไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้นหากมีการเปลี่ยนแหลงรูปแบบห้างสรรพสินค้ามาเป็นศูนย์อาหารและพลาซ่าน่าจะมีความเป็นไปได้

ในที่สุดรอซโซ่จึงตัดสินใจซื้อกิจการห้างคาเธ่ย์ บางแค ในราคาประมาณ 200 ล้านบาท เมื่อรวมกับค่าปรับปรุง ตกแต่งภายในบริษัทต้องใช้เงินลงทุนในการเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกครั้งนี้กว่า 300 ล้านบาท โดยได้ทำการเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็นเดอะแกรนด์ 2000 (เพื่อให้ฟังดูทันสมัยที่ใคร ๆ ก็มักออกมาพูดถึงวิสัยทัศน์ในปี 2000) พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ ให้สอดคล้องกับลักษณะพื้นที่โครงการ ทำเลที่ตั้ง กลุ่มเป้าหมาย การจัดการและการแข่งขันทางธุรกิจ

เดอะแกรนด์ 2000 มีกำหนดเปิดในต้นเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ โดยอยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เอ บี เอ เทรดเซ็นเตอร์ จำกัด ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาทและเป็นการถือหุ้นของคนในตระกูล "ชาติธรรมรักษ์" ทั้งสิ้น

"ความจริงเราสนใจธุรกิจค้าปลีกมานาน แต่ไม่สามารถหาทำเลที่น่าสนใจได้เมื่อคุณชูชาติซึ่งเป็นน้องชายมาเสนอขายเพราะทำไม่ไหว และหลังจากที่ได้ศึกษาแล้วว่าน่าจะฟื้นขึ้นมาใหม่ได้ในรูปแบบของพลาซ่า จึงตัดสินใจซื้อมาทำเสียเอง เรียกว่าได้ช่วยน้องด้วยได้ขยายธุรกิจด้วย" ศรีจันทร์เล่าให้ฟัง

อย่างไรก็ดีศรีจันทร์ยอมรับว่า แม้ว่ารอซโซ่จะสนใจทำธุรกิจค้าปลีกมานานแต่การเทคโอเวอร์คาเธ่ย์ บางแคก็ถือว่าเป็นอุบัติเหตุทางธุรกิจที่ไม่คาดฝันได้เหมือนกัน เพราะถ้าคาเธ่ย์ บางแคไม่ใช่ธุรกิจของคนในตระกูลกมลวิศษฐ์ เธอคงไม่ซื้อไว้เพราะช่วงนี้ยังไม่ใช่ช่วงที่เหมาะสมในการลงทุนทำค้าปลีก

"แม้แต่ตัวชูชาติเองก็เป็นไปได้สูงที่จะวางมือจากธุรกิจค้าปลีก แล้วเบนเข็มไปทำธุรกิจอื่นที่ตรงกับที่ร่ำเรียนมา เพราะชูชาตินั้นจบเภสัชกรรม จากมหาวิทยาลัยมหิดล ขณะที่สาขาเยาวราชนั้น วิโรจน์ รับหน้าที่บริหารต่อไป" ศรีจันทร์กล่าว

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แผนการขยายคาเธ่ย์ออกไปแถบชานเมืองหรือเขตปริมณฑล เช่นย่านรัตนาธิเบศร์และมีนบุรีก็คงต้องยกเลิกไปโดยปริยาย

สำหรับโฉมหน้าของเดอะแกรนด์ 2000 ซึ่งประกอบไปด้วยอาคาร 2 หลังบนพื้นที่ 3 ไร่นั้น อาคารแรกสูง 7 ชั้น มีพื้นที่ชั้นละ 1,200 ตารางเมตร ชั้นใต้ดินจะเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต อาหาร เครื่องดื่ม เบเกอรี่

"จุดเด่นของซูเปอร์มาร์เก็ตของเราคือ จะทำทั้งค้าส่งและค้าปลีก ช่วงแรกคาดว่าจะมียอดขายเดือนละกว่า 10 ล้านบาท โดยจะเป็นส่วนของการค้าส่ง 30% ค้าปลีก 70% ซึ่งในอนาคตเรามีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการค้าส่งเป็น 70% ด้วยกลยุทธ์ราคา"

ชั้น 1-2 เป็นศูนย์รวมอาหารและร้านค้าประกอบด้วยเคเอฟซี แพนตันสุกี้ ศูนย์อาหารทั่วไป เครื่องดื่ม เสื้อผ้า เครื่องหนัง

ชั้น 3-4 เป็นพื้นที่ให้เช่า-เซ้ง สำหรับขายสินค้าทั่วไป เช่น เสื้อผ้า กิ๊ฟชอป วิดีโอเทป ของเด็กเล่น รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า วิดีโอเกม นอกจากนี้ในชั้นที่ 4 ยังมีบริเวณสำหรับจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อดึงคนเข้ามาใช้บริการในศูนย์ด้วย

ชั้น 5 ขึ้นไปเป็นสำนักงานบริษัทและสำนักงานให้เช่า

ส่วนอีกอาคารเป็นอาคารจอดรถ 5 ชั้น ซึ่งสามารถจอดรถได้ประมาณ 200 คันและมีลานเอนกประสงค์ขนาด 300 กว่าตารางเมตร สำหรับจัดกิจกรรมเสริมในวันหยุดหรือเทศกาลสำคัญต่าง ๆ

"เราคาดว่าในวันธรรมดาจะมีคนมาใช้บริการวันละหลายพันคน และเพิ่มเป็น 20,000-30,000 คนในวันหยุด เรามั่นใจว่าที่นี่ 3 ปีก็จะคืนทุน" นี่เป็นความหวังของกัมพลที่กำลังรอการพิสูจน์

คาเธ่ย์ เยาวราช อนาคตอยู่ที่ "ไพบูลย์สมบัติ"

ที่ผ่านมา คาเธ่ย์ เยาวราช อยู่ในสภาพที่มีคู่แข่งก็เหมือนกับไม่มี เพราะกลุ่มลูกค้าหลักของที่นี่จะเป็นคนอยู่อาศัยและทำมาหากินในย่านเยาวราชจริง ๆ ไม่ใช่ลูกค้าขาจรย่านอื่น ดังนั้นคู่แข่งอย่างเมอรี่คิงส์และเซ็นทรัล ซึ่งตั้งอยู่เลยไปทางด้านวังบูรพา แม้จะมีขนาดใหญ่กว่ากไม่สร้างผลกระทบให้คาเธ่ย์ และ 2 รายนี้ก็มัวแต่แข่งกันเองมากกว่าที่จะคิดแข่งกับห้างเล็ก ๆ อย่างคาเธ่ย์

อย่างไรก็ดีคาเธ่ย์ก็มีการปรับปรุงสาขาเยาวราชให้ดูทันสมัยและน่าสนใจยิ่งขึ้นด้วยการทาบทามฟาสต์ฟูดยอดนิยมให้เข้ามาเปิดบริการ ทั้งเคเอฟซีและเอสแอนด์พีเพราะย่านเยาวราชยังไม่มีร้านอาหารพวกนี้อยู่เลย

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการปรับพื้นที่จำนวน 100 ตารางเมตร บริเวณชั้น 1 ให้เป็นศูนย์จำหน่ายอัญมณีและทองอีกด้วย

"สาเหตุหนึ่งที่คาเธ่ย์ปรับโฉมที่นี่ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากว่า ศูนย์การค้าดีเอสเยาวราชสแควร์ ของบริษัท ดี . เอส. ดี เวลลอปเมนท์จะเริ่มเปิดดำเนินการในเดือนธันวาคม ซึ่งจุดเด่นของศูนย์การค้าใหม่คือ ร้านฟาสต์ฟูดอินเตอร์ อย่างแม็คโดนัลส์ และไก่ทอดป๊อปอายส์ นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารจีนและอาหารประเภทอื่น ๆ รวมทั้งร้านค้าอื่น ๆ อีกด้วย" แหล่งข่าววิเคราะห์ให้ฟัง

ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว สิ่งที่คาเธ่ย์ห่วงที่สุดไม่ใช่คู่แข่งรายไหนทั้งสิ้น แต่คือ บริษัท ไพบูลย์สมบัติ จำกัด เจ้าของตึกที่บริษัทเช่าอยู่มากกว่า เพราะถ้าอีก 6 ปีข้างหน้า ไพบูลย์สมบัติไม่ต่อสัญญาเช่าครั้งใหม่ให้ คาเธ่ย์ก็จะไม่มีตัวตนไปแข่งกับใคร ๆ ทั้งสิ้น

หากเป็นเช่นนั้นจริง ตระกูลกมลวิศิษฐ์ก็คงจะเหลือเฉพาะธุรกิจเสื้อผ้าเป็นสายเลือดหลักเพียงสายเดียวเท่านั้น

บทเรียนของ "กมลวิศิษฐ์" นั้น เฉกเช่นเดียวกับธุรกิจอื่น ๆ ที่เรียกว่า "รายเล็กย่อมอยู่ไม่ได้" แต่ "กมลวิศิษฐ์" โชคร้ายกว่านั้น คือ โอกาสที่จะปรับตัวแทบจะไม่มี เพราะการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกเร็วมาก ๆ จนเหลียวกลับมา ชื่อคาเธ่ย์" ก็แทบหายไปแล้ว !

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us