ผมวางเป้าหมายไว้ว่าปีหน้า เชสเตอร์ กริลล์จะต้องก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับ
2 ของธุรกิจฟาสต์ฟูดบ้านเรา" วีระพงษ์ สังคปรีชา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท
เชสเตอร์ฟู้ด จำกัดเจ้าของลิขสิทธิ์ฟาสต์ฟูดเชสเตอร์ กริลล์ หนึ่งธุรกิจด้านอาหารของเครือซีพี
กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
เป็นคำพูดที่หากจะต้องดำเนินการให้บรรลุผลแล้ว นับเป็นภาระที่หนักหนาสาหัสเอาการ
เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันธุรกิจฟาสต์ฟูดมีผู้ประกอบการเข้ามาร่วมแข่งขันมากมาย
จนทำให้เค้กก้อนนี้ต้องถูกแบ่งสรรปันส่วนซอยย่อยลงไปอีก
โดยเฉพาะกางวางตำแหนางเป้าหมายของเชสเตอร์กริลล์ ในครั้งนี้วีระพงษ์เปรียบมวยกับเคเอฟซี
แมคโดนัลด์ และพิซซ่า ฮัท ซึ่งปัจจุบันเชสเตอร์ กริลล์ยังรั้งตำแหน่งอันดับ
4
วีระพงษ์กล่าวว่าโอกาสที่เชสเตอร์ กริลล์จะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับสองในปีหน้านั้นมีความเป็นไปได้
แต่ทั้งนี้จะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการคือ หนึ่ง-พัฒนาตัวสินค้าให้ผู้บริโภคยอมรับ
สอง-มีเครือข่ายสาขาบริการอย่างทั่วถึง และสาม-ทำยอดขายได้ตามเป้า
เชสเตอร์ กริลล์ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2531 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่วีระพงษ์
ตัดสินใจเข้ามาร่วมงานกับกลุ่มซีพี โดยเข้ามารับผิดชอบในส่วนของการพัฒนาธุรกิจฟาสต์ฟูดของคนไทย
วัตถุประสงค์ของกลุ่มซีพีในยุคนั้นคือต้องการที่จะผลักดันฟาสต์ฟูดฝีมือคนไทยให้ขึ้นเทียบชั้นระดับอินเตอร์
เพื่อขยายตลาดไปทั่วโลก ซึ่งเป้าหมายของกลุ่มซีพีนับเป็นมุมมองเดียวกันกับวีระพงษ์
เขามีความต้องการที่จะสร้างชื่อฟาสต์ฟูดไทยให้มีโอกาสแข่งขันกับฟาสต์ฟูดระดับอินเตอร์ในเวทีโลกได้
จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาในฐานะเป็นผู้หนึ่งในการร่วมผลักดันเคเอฟซีในตลาดเมืองไทยกับกลุ่มเซ็นทรัลมานานถึง
5 ปี ทำให้เขาเชื่อว่าโอกาสที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับเชสเตอร์ กริลล์เป็นที่ยอมรับในฐานะฟาสต์ฟูดส์ระดับอินเตอร์นั้นมีความเป็นไปได้สูงมาก
โดยเฉพาะเมื่อได้กลุ่มซีพีซึ่งมีความแข็งแกร่งในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน
วัตถุดิบ เครือข่ายธุรกิจในต่างประเทศและประสบการณ์จากความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ของเซเว่น-อีเลฟเว่น
น่าจะเป็นจุดเอื้อความสำเร็จได้ไม่ยากนัก
แต่ก่อนที่จะผลักดันให้เชสเตอร์ กริลล์ ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ผู้บริโภคในประเทศยอมรับเสียก่อน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้บริหารของเชสเตอร์ฟู้ดต่างมีนโยบายที่จะมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งตลาดในประเทศเป็นหลัก
สำหรับแผนงานการขยายธุรกิจของเชสเตอร์ กริลล์ได้กำหนดออกเป็น 3 ระยะ กล่าวคือระยะที่
1 จะเป็นการดำเนินธุรกิจเพื่อหยั่งฐานไประยะหนึ่ง ระยะที่ 2 จะเป็นการขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์และระยะที่
3 จะเป็นการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ
จะเห็นได้ว่าในขณะนี้การดำเนินการได้บรรลุเป้าหมายตามระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้ว
สำหรับตลาดต่างประเทศปัจจุบันเชสเตอร์กริลล์มีสาขาในประเทศจีนประมาณ 5
แห่ง และปีหน้ามีแผนที่จะขยายไปยังประเทศอินเดีย และเวียดนาม
ปัจจุบันเชสเตอร์ กริลล์มีเครือข่ายสาขาในประเทศ 21 แห่ง แบ่งเป็นสาขาที่ทางบริษัทดำเนินการเอง
18 แห่ง สาขาในรูปการขายแฟรนไชส์อีก 3 แห่ง
วีระพงษ์กล่าวว่าสำหรับแผนระยะยาวในส่วนของเครือข่ายสาขาทางบริษัทได้ตั้งเป้าไว้ว่าภายในระยะ
3 ปี เชสเตอร์ กริลล์จะขยายสาขาให้ครบ 100 แห่ง
รูปแบบการขยายสาขานับจากนี้ไปจะเน้นการขยายรูปแบบแฟรนไชส์เป็นหลัก โดยคิดเป็นอัตราส่วนประมาณ
90% ที่เหลืออีก 10% ทางบริษัทจะเป็นผู้ลงทุนเอง
ซึ่งหากแผนการขยายสาขาเป็นไปตามที่กำหนด คือ 20 แห่งต่อปี จะทำให้ภายในปีหน้าเชสเตอร์
กริลล์จะมีเครือข่ายสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดรวมกันประมาณเกือบ
60 แห่ง
อย่างไรก็ตามในปีนี้จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดว่าจะขยายสาขาในประเทศเพิ่มขึ้นอีก
20 แห่งแต่จากปัญหาในเรื่องการขาดแคลนบุคลากรทำให้เป้าหมายจำนวนสาขาไม่สามารถดำเนินการได้
โดยคาดว่าภายในปีนี้บริษัทจะสามารถขยายสาขาได้เพียง 10 แห่งเท่านั้น
ซึ่งหากเชสเตอร์ กริลล์ ยังมีปัญหาในเรื่องการขยายสาขาที่ไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้
อาจทำให้โอกาสการก้าวขึ้นสู่อันดับสองในปีหน้านั้นเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น
เนื่องจากปัจจุบันเรื่องเครือข่ายสาขาที่มีจำนวนมาก นับเป็นกลไกสำคัญที่มีส่วนสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน
ซึ่งแต่ละค่ายก็พยายามที่จะมุ่งเน้นกับการขยายสาขาให้ครอบคลุมมากที่สุด จะเห็นได้จากค่ายผู้ประกอบการมีความพยายามที่จะคิดค้นรูปแบบร้าน
และบริการใหม่ ๆ เข้ามาเสริมเช่นคีออส เทกโฮม ไดร์ฟทูเป็นต้น
"บุคลากรกำลังเป็นปัญหาของเรา และต้องยอมรับว่าบุคลากรเป็นปัจจัยสำคัญสุดของเราซึ่งจะเป็นตัวชี้ว่าเป้าหมายที่เราวางไว้จะดำเนินการได้หรือไม่"
กรณีของการขยายสาขาในปีนี้ที่ไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากปัญหาบุคลากรไม่เพียงพอเป็นเหตุ
คือภาพสะท้อนถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
แผนการตั้งศูนย์เทรนนิ่งเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่งเพื่อผลิตบุคลากรรองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต
คือทางออกที่วีระพงษ์กำลังให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ทั้งนี้เพราะตระหนักดีว่าตราบใดที่ปัญหาเรื่องบุคลากรขาดแคลนยังแก้ไม่ตก
โครงการต่าง ๆ ที่ต้องใช้บุคลากรจำนวนมากเข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อนคงจะต้องชลอ
วีระพงษ์ยอมรับว่าตรงนี้คือปัญหา และกลายเป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่ต้องหาคำตอบให้ได้เร็วที่สุด
ไม่เช่นนั้นเป้าหมายในการนำเชสเตอร์กริลล์ผงาดขึ้นสู่อันดับ 2 ในวงการฟาสต์ฟูดไทยอาจจะยิ่งไกลเกินเอื้อม