RPC เผยเดินหน้าขยายปั๊ม “เพียว” เพิ่มอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้มีผู้ประกอบการสนใจติดต่อขอร่วมธุรกิจเป็นจำนวนมาก เนื่องจากบริษัท มีนโยบายเน้นการร่วมธุรกิจมากกว่าที่จะสร้างปั๊มใหม่ เพราะต้องการเข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการที่สู้ราคาค่าการตลาดไม่ไหว โดยที่ผู้ประกอบการยังเป็นเจ้าของอยู่เหมือนเดิมและให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ คาดต้นปีหน้าเปิดสาขาบริการได้มากกว่า 60 แห่ง มั่นใจปี 50 มีสาขาครบ 100 แห่งแน่

นางสาวกนกพร จารุกุลวนิช ผู้จัดการทั่วไปสายการตลาด บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด(มหาชน) หรือ RPC กล่าวว่า จากนโยบายของบริษัทฯ ที่จะขยายจำนวนสถานีบริการน้ำมัน “เพียว” ให้ครบ 100 สาขาทั่วประเทศ ภายในปี 2550 นั้น ซึ่งขณะนี้ RPC มีสถานีที่เปิดให้บริการกับลูกค้าได้แล้วกว่า 60 สาขา ซึ่งสถานีบริการน้ำมัน “เพียว” จะกระจายไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ

ปัจจุบันสามารถแบ่งเป็นภาคเหนือ 14 สาขา ภาคกลางและภาคตะวันออก 14 สาขา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 21 สาขา และภาคตะวันตก 5 สาขา สำหรับในส่วนของพื้นที่เขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เราก็กำลังขยายสาขาให้มีเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน คาดว่าในช่วงต้นปีหน้า จะมีจำนวนปั๊มในเขตกรุงเทพฯ – ปริมณฑล เพิ่มขึ้นอีก 3 สาขา รวมเป็น 6 สาขา โดยจะตั้งอยู่ในบริเวณโครงการ PURE PLACE ซึ่งเป็น Community Mall ที่บมจ.ระยองเพียว ร่วมทุนกับ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) 1 สาขา และที่ถนนสุขุมวิท จ.สมุทรปราการ อีก 1 สาขา ทั้งนี้ เพื่อมุ่งหวังที่จะให้คนไทยทุกคนได้ใช้น้ำมันที่มีคุณภาพจากโรงกลั่นน้ำมันของคนไทย ในราคายุติธรรม

นางสาวกนกพร ยังได้กล่าวถึงนโยบายการเข้าไปร่วมธุรกิจกับผู้ประกอบการน้ำมันอิสระว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ ไปแล้ว ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดขณะนี้ค่อนข้างผันผวน ทำให้มีผู้ประกอบการจำนวนมากติดต่อเข้ามาเพื่อขอทราบรายละเอียดการร่วมธุรกิจกับ “เพียว”

ทั้งนี้ เป็นผลจากกการที่ RPC มีนโยบายของบริษัทฯ จะเน้นไปในด้านการร่วมธุรกิจมากกว่าที่จะสร้างปั๊มใหม่ เพราะต้องการเข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการที่สู้ราคาค่าการตลาดไม่ไหว และต้องปิดตัวลงไปอย่างน่าเสียดาย แต่เมื่อเข้ามาร่วมธุรกิจกับ “เพียว” บริษัทฯ จะเข้าไปดูแลและบริหารงานภายในปั๊มให้ทุกอย่าง โดยที่ผู้ประกอบการยังเป็นเจ้าของอยู่เหมือนเดิม รวมถึงการให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้ประกอบการสนใจเป็นอย่างมาก

สำหรับผลการดำเนินงานของ RPC ไตรมาส 3 ปีนี้พบว่า บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 41.88 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 125.95 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิต่อหุ้นที่มีอยู่ 24 สตางค์ เป็นขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 8 สตางค์ เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากกคุณภาพของวัตถุดิบ และผู้ขายวัตถุดิบได้ส่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพผิดไปจากที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายวัตถุดิบ และมีคุณสมบัติผิดไปจากที่เคยส่งมอบให้บริษัทฯตลอดระยะเวลาของสัญญาที่ผ่านมาอย่างกระทันหัน มีผลทำให้บริษัทฯ มีต้นทุนเพิ่มในการปรับคุณภาพสินค้า ตลอดจนค่าเสียหายด้านอื่นๆ รวมทั้งความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะช่วงเดือนกันยายน