|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ที.ซี.ยูเนี่ยนจีบยักษ์ใหญ่แดนปลาดิบ-ยุโรปร่วมทุน ลงทุนเครื่องจักร 50 ล้านบาท เปิดตัวเครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมน้ำมันปลาทูน่ายี่ห้อโอเม็กซ์ จ่อคิวลงตลาดภายใน 2 ปี รับเทรนด์เสริมอาหารกินง่าย พร้อมโหนกระแสฟังก์ชันนัลซอฟต์ดริงก์ เล็งต่อยอดป้อนวัตถุดิบผู้ผลิตสแนก ปีหน้าตั้งเป้าโต 30% จากปีนี้กวาดรายได้เกือบ 300ล้านบาท
นายปิติ กิตติธีรพรชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.ซี.ยูเนี่ยน โกลบอล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเสริมอาหารบริ๊งค์,โอเม็กซ์และเวกกี้ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับพาร์ทเนอร์ทั้งในญี่ปุ่นและยุโรป เพื่อผลิตเครื่องดื่มผลไม้ผสมน้ำมันปลาทูน่า ภายใต้แบรนด์”โอเม็กซ์”ลงสู่ตลาดภายใน 2ปีนี้ โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนในส่วนของเครื่องจักร 50 ล้านบาท ทั้งนี้เหตุผลที่บริษัทฯต้องหาพาร์ทเนอร์มาร่วมทุน เนื่องจากต้องอาศัยเทคโนโลยี เพราะกระบวนการผลิตค่อนข้างยากโดยเฉพาะเรื่องการกำจัดกลิ่น
การรุกตลาดเสริมอาหารเซกเมนต์เครื่องดื่ม เพื่อรองรับกับแนวโน้มตลาดอาหารเสริมในช่องทางโมเดิร์นเทรดมูลค่า 2,000ล้านบาท โดยการผลิตจะต้องสามารถรับประทานได้ง่ายมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ทำเป็นเครื่องดื่มลงบรรจุภัณฑ์ขวด เพื่อลบภาพลักษณ์ยาในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทำให้ผู้บริโภคยังจำกัดเฉพาะกลุ่มเนื่องจากราคาแพง สำหรับเครื่องดื่มโอเมกบริษัทฯวางราคาจำหน่ายขวดละไม่เกิน 25บาท นอกจากนี้ยังวางตำแหน่งเป็นเครื่องดื่มที่ครอบคลุมผู้ดื่มทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มเด็ก วัยรุ่น กระทั่งผู้ใหญ่
นายปิติ กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาดน้ำมันปลาทูน่าว่า ปัจจุบันการรับรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของน้ำมันปลาทูน่าของผู้บริโภคมีอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งเพราะได้รับอานิสงส์มาจากนมผงเด็ก สำหรับโอเม็กซ์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงร่างกาย ถือว่าเป็นสินค้าตัวแรกที่บริษัทฯเปิดตัวลงสู่ตลาดมากกว่าได้ 6-7 ปีแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีมากนัก เนื่องจากเทรนด์ตลาดยังไม่เกิด ซึ่งบริษัทฯมองว่าในปีหน้านี้ตลาดดังกล่าวจะสามารถแจ้งเกิดได้
ปัจจุบันบริษัทฯเป็นผู้ผลิตน้ำมันปลา 1 ใน 5 ของโลก โดยมีกำลังการผลิต 3,500 ตัน ขณะที่ตลาดรวมน้ำมันปลาทั่วโลก 15,000 ตัน ซึ่งกำลังการผลิตของบริษัทฯส่วนใหญ่ส่งออก 60% และอีก 40% ภายในประเทศ ดังนั้นการที่บริษัทฯจะเริ่มรุกตลาดอย่างจริงจังก็ไม่น่าจะมีปัญหา แม้ว่าปัจจุบันปลาจะเริ่มหายากและมีจำนวนน้อยลงก็ตาม
สำหรับแผนการทำตลาดโอเมก บริษัทฯจะเน้นเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายเจาะทุกกลุ่มเป้าหมาย นำร่องในปีหน้านี้บริษัทฯได้เตรียมเปิดตัว”โอเมก อีมัลชั่น” น้ำมันทูน่าที่ผสมเข้ากับน้ำเข้มข้น ขณะเดียวกันหากร่วมทุนแล้วพัฒนาน้ำมันปลาทูน่าผสมกับสินค้าอื่นๆ ได้ บริษัทฯยังได้วางแผนจะป้อนวัตถุดิบจำหน่ายให้กับกลุ่มขนมขบเคี้ยว เป็นต้น เนื่องจากเชื่อว่าเทรนด์ขนมขบเคี้ยวประเทศไทยจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยต้องมีการเติมสารที่มีคุณประโยชน์มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันแนวโน้มดังกล่าวได้เกิดขึ้นแล้วต่างประเทศ สำหรับไทยสำนักคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.ก็เริ่มเข้มงวด โดยให้ผู้ผลิตขนมขบเคี้ยวแสดงสัญลักษณ์หากเป็นสีแดงแสดงว่าบริโภคแล้วจะอ้วน เป็นต้น
ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังได้พัฒนาคอลลาเจน เพื่อป้อนตลาดคอสเมติกภายในประเทศ เนื่องจากเล็งเห็นช่องว่างทางการตลาด โดยปัจจุบันคอสเมติกต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ นอกจากนี้ยังได้เตรียมส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ทั้งนี้จากการรุกธุรกิจผู้ป้อนวัตถุดิบและผลิตเสริมอาหารจำหน่าย ภายใต้การทุ่มงบการตลาด 60 ล้านบาท คาดว่าปีหน้ารายได้รวมมีอัตราการเติบโต 30% จากปีนี้มีรายได้เกือบ 300 ล้านบาท
|
|
|
|
|