|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
จุฑานาวี ยอมรับค่าเงินบาทแข็งค่ากระทบรายได้บริษัท แต่ยังมั่นใจรายได้ปีนี้ 780 ล้านบาท คาดปีหน้ารายได้โต 27-28% หากเจรจาซื้อเรือใหญ่ 2 ลำสำเร็จ เปิดแผนเตรียมซื้อเพิ่มอีก 10 ลำภายใน 3 ปี ผู้บริหารแย้มข่าวดีผู้ถือหุ้นเล็งประชุมบอร์ดต้นปีหน้าพิจารณาจ่ายปันผลหลังล้างขาดทุนสะสมหมด
นายชเนศร์ เพ็ญชาติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทจุฑานาวี จำกัด (มหาชน) หรือ JUTHA เปิดเผยว่า การแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของค่าเงินบาทส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทประมาณ 2.5-3% เนื่องจากบริษัทมีรายได้เป็นเงินดอลลาร์ แต่ทั้งนี้บริษัทยังคาดการณ์รายได้ทั้งปีอยู่ที่ 780 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้อยู่ที่ 700 ล้านบาท
ในส่วนของรายได้ในปีหน้าบริษัทคาดว่าหากการเจรจาในเรื่องการซื้อเรือเพิ่มจำนวน 2 ลำสำเร็จโดยคาดว่าจะทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 27-28% จากปีนี้ ขณะที่อัตรากำไรของบริษัทในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 37% ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 26% นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะซื้อเรือเพิ่มรวม10 ลำในระยะเวลาภายใน 3 ปีโดยราคาเรือโดยเฉลี่ยอยู่ที่ลำละ 10 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อลำ
"อัตราแลกเปลี่ยนมีผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทอยู่บ้างแต่เรามีเงินที่กู้มาในรูปของเงินดอลลาร์ทำให้การผ่อนชำระลดลงซึ่งก็ถือว่าเป็นผลดีต่อบริษัท โดยแม้ว่าจะถือว่ามีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนแต่บริษัทก็ยังเน้นการทำธุรกิจจากการเดินเรือ"นายชเนศร์กล่าว
สำหรับการประมาณการค่าระวางเรือในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 6,800 เหรียญต่อวันต่อลำ ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีนี้ ขณะที่การเติบโตของอุตสาหกรรมเดินเรือคาดว่าหากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอยู่ที่ประมาณ 3-4% ธุรกิจขนส่งทางเรือจะเติบโตสูงกว่าประมาณ 1 เท่า โดยปัจจุบันบริษัทมีเรือยู่รวม 7 ลำ ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันเพราะส่วนใหญ่เป็นเรือเช่าภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องราคาน้ำมันผู้เช่าจึงเป็นผู้ที่รับภาระไป แต่ในปีหน้าบริษัทอาจจะขายเรือออกไป 1 ลำในราคาประมาณ 3 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ซื้อโดยหากสามารถขายได้จะเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส4/49 บริษัทคาดว่ายังมีแนวโน้มที่โดดเด่นกว่าช่วงไตรมาส3/49 ที่ผ่านมาเนื่องจากเป็นช่วงที่มีความต้องการในการขนส่งสินค้าทางเรือค่อนข้างสูง ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทสูงขึ้นตามไปด้วย
นายชเนศร์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของแผนในการลดอัตราหนี้สินต่อทุน หรือ D/E บริษัทตั้งเป้าจะลดอัตราส่ง D/E ให้เหลือไม่เกิน 1.5 เท่า โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ลด D/E จากระดับ 30 เท่าในช่วงเวลา 2 ปีเหลือเพียงประมาณ 3 เท่าเท่านั้น
นอกจากนี้ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าบริษัทเตรียมที่จะนำเรื่องการพิจารณาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นงวดสิ้นปี 2549 เข้าที่ประชุมคณะกรรมการซึ่งคาดว่าจะมีการอนุมัติจ่ายเงินปันผลไม้ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิตามนโยบายของบริษัท
"เราเชื่อว่าบริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี ภายหลังจากที่ล้างขาดทุนสะสมหมด จากที่ก่อนหน้านี้บริษัทไม่ได้จ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นมาโดยตลอด"นายชเนศร์ กล่าว
|
|
|
|
|