"แสนสิริ" ประกาศเพิ่มครั้งใหญ่12,610 ล้านบาท พร้อมออก Warrant รองรับการเพิ่มทุนสูงสุดเป็น 19,238 ล้านบาท ภายใน 5 ปี ด้านเศรษฐา เตรียมขออนุมัติผู้ถือหุ้น 18 ม.ค.50 หวังสร้างความชัดเจนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ล้างภาพผู้ถือหุ้นรายเดิม สร้างมูลค่าเพิ่มหุ้น "แสนสิริ" แจงจุดประสงค์การเพิ่มทุน ต้องการเป็นเบอร์ 1 แซงหน้ากลุ่มแลนด์ฯ ลดบทบาทเอ็นพาร์ค
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร ได้มีมติอนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ อีกจำนวน 12,610,225,400.88 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 6,628,246,421.68 บาท ทำให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 19,238,471,822.56 บาท โดยบริษัทจะมีการออกหุ้นสามัญล็อตใหม่จำนวน 2,946,314,346 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 4.28 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้ บริษัทได้อนุมัติออกใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (Warrant) จำนวนไม่เกิน1,473,314,346 หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นทุกรายในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วย โดยใบสำคัญแสดงสิทธ์ สำหรับการเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทได้มอบหมายให้ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมีบริษัทหลักทรัพย์ยูบีเอส (ประเทศไทย) เป็นผู้ร่วมดำเนินการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท
สำหรับการเพิ่มทุนดังกล่าว บริษัทมีจุดประสงค์สำคัญ 3 ประการคือ การขึ้นเป็นผู้นำทางด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยทุนที่แข็งแกร่ง ความชัดเจนของกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และการลดความสำคัญในการถือหุ้นของบริษัท แนเชอร์รัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) (N-PARK)ทั้งนี้ ภายหลังการเพิ่มทุนดังกล่าว จะทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นของ แสนสิริ เปลี่ยนแปลงใหม่ โดยตนจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท มีสัดส่วนการถือหุ้นไม่เกิน 24.9% จากเดิมที่ตนมีหุ้นอยู่ในสัดส่วน 0.6% หรือประมาณ 8 ล้านหุ้น
ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ถือหุ้นรายเดิมจะมีสัดส่วนการถือหุ้นลดลง50% โดยเฉพาะในกรณีของบริษัท แนเชอรัลพาร์คฯ ซึ่งเดิมเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วน 24% จะคงเหลือหุ้นในบริษัทแสนสิริประมาณ 12%
" ตนคาดว่าทางบริษัทแนเชอรัล พาร์ค จะไม่ใช้สิทธิ์ในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งจะทำให้บริษัทแนเชอร์รัล พาร์ค คงมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ลดลงเหลือ 12% นอกจากนี้การที่ตนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท จะทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทในสายตานักลงทุนมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะสามารถเพิ่มมูลค่าหุ้นของบริษัทได้ดีเท่าที่น่าจะเป็น จากเดิมที่นักลงทุนยังไม่ให้ความเชื่อมั่นในตัวผู้ถือหุ้นใหญ่มากนัก " นายเศรษฐากล่าวให้เห็นถึงปัญหาที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ผลของการเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนนั้น คงต้องรอผลการประชุมคณะกรรมการผู้ถือหุ้น จะพิจารณาขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับตนจำนวนเท่าใด ซึ่งการดำเนินการขออนุมัติมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นจะจัดขึ้นในวันที่ 18 มกราคม 2550 นี้
" การเพิ่มทุนจดทะเบียนในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็ง เชื่อว่าการปรับตัวของบริษัท จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวงการธุรกิจอสังหาฯด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากจะมีเงินทุนที่มากเพียงพอต่อการขยายธุรกิจแบบครบวงจรแล้ว ยังช่วยให้ฐานะทางด้านหนี้สินต่อทุนลดลง จากปัจจุบัน 1.37 เท่า ลงเหลือ 0.88 เท่า ทันที ความพร้อมของบริษัท จะสามารถดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เข้ามาร่วมลงทุนกับบริษัทฯเพิ่มขึ้น"นายเศรษฐากล่าวถึงอนาคตของกลุ่มแสนสิริ
ด้านฐานะการเงินของบริษัทที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ 30 ก.ย.2549 บริษัทมีสินทรัพย์ 18,365 ล้านบาท หนี้สิน 10,656 ล้านบาท รายได้รวม 8,224 ล้านบาท กำไรสุทธิ 327.44 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น(บาท) 0.22 มีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์(ROA) 5.19% โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเกือบ 6,000 ล้านบาท ขณะที่ทางด้านบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ มีสินทรัพย์ 40,147 ล้านบาท หนี้สิน 17,938 ล้านบาท รายได้รวม 12,309 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,970.58 ล้านบาท มีROA ระดับ 10.30% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 66,962.54 ล้านบาท
สำหรับหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่นี้ จะขายให้แก่นักลงทุนเฉพาะกลุ่ม ซึ่งจะขายให้แก่นักลงทุนบสถาบัน ซึ่งคาดว่าจะขายให้ไม่เกิน 35 ราย โดยจะมีไปนำเสนอข้อมูลการขายหุ้นเพิ่มทุน(โรดโชว์)ในต่างประเทศ เช่น ประเทศฮ่องกง, สิงคโปร์ และยุโรป เป็นต้น
นายเศรษฐา กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในช่วงต่อไป มีกลยุทธ์หลัก 4 ประการ ที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจมีความแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย การสานต่อการสร้างแบรนด์สินค้าให้แข็งแกร่ง ทั้งในส่วนโครงการบ้านจัดสรร การส้รางยอดขายล่วงหน้า (Pre-Sale Backlog) จากโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งขณะนี้บริษัทมียอดขายแล้ว15,000 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องใน 1-3 ปีข้างหน้า และ แผนการขยายฐานการพัฒนาธุรกิจที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจรผ่านบริษัทในเครือต่างๆ และสุดท้ายคือการมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีผลกระทบต่อแผนการลงทุนระยะยาว
|