|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
วานนี้ (3 ธ.ค.) มีการจัดสัมมนา "ทิศทางเศรษฐกิจ หุ้นไทยปี 50 และกลยุทธ์ลงทุนหุ้น" ในงานวันตลาดนักผู้ลงทุนไทย ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งได้มีการสำรวจความเห็นในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยมีช่วงคะแนนต่ำสุด 0 คะแนน สูงสุด 10 คะแนน ปรากฏว่า "ศุภวุฒิ" ให้ 5 คะแนน "ก้องเกียรติ" ให้ 7 คะแนน "สมชาย" ให้ 4.5-5 คะแนน "มนตรี" ให้ 7 คะแนน
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2550 คาดว่าจะเติบโตสูงกว่าปีนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในระดับประมาณ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับตัวลดลง รวมถึงการที่รัฐบาลมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในการลงทุนโครงการต่างๆ ซึ่ง คาดว่าเศรษฐกิจจะมีการเติบโตที่ดีในช่วงครึ่งปีหลังประมาณ 5%
สำหรับแนวโน้มทิศทางตลาดหุ้นไทย ยังคงคาดการณ์ได้ยาก ซึ่งปัจจัยหลักที่ต้องจับตาคือปัจจัยทางการเมือง ในเรื่องการคืนอำนาจสู่ประชาชนว่า จะเป็นเงื่อนไขที่ประชาชนยอมรับได้หรือไม่ และเกิดขึ้นเร็วและเรียบร้อยดีหรือไม่ คาดว่าในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม จะมีการประกาศร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แบบคร่าวๆ ซึ่งคาดว่าในช่วง 2-3 เดือนแรกตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นดี แต่จะมีการคาดการณ์ได้ชัดเจนน่าจะเป็นช่วงครึ่งปีหลัง จากปัจจัยการเมืองชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้ หากจะให้คะแนนการลงทุนในหุ้นปีหน้าอยู่ที่ 5 คะแนน โดยฝ่ายวิจัยของบริษัทคาดว่า การเติบโตของกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนปีหน้าจะเติบโต 1% ซึ่งหากปี2550 ปัจจัยการเมืองมีการผ่านไปได้ด้วยดี คาดว่าปี 2551 บริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรเติบโตปีละ 15-17% ส่วนปัจจัยที่ตนไม่อยากให้เกิดขึ้นในปีหน้า คือ ความขัดแย้งภายในประเทศ ซึ่งสัดส่วนการลงทุนในปีหน้า ตนมองว่า 1ใน 3 ลงทุนในหุ้น 10-15% ลงทุนหุ้นในต่างประเทศ และตราสารต่างๆ อีก 50% ลงทุนในประเทศเช่น ตราสารหนี้ ที่มีความผันผวนต่ำ
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจเข้าไปลงทุน มี 3 กลุ่ม คือ1. กลุ่มที่ได้รับผลดีจากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศก็ได้มีการเข้าไปซื้อหุ้นกลุ่มดังกล่าวแล้ว 2.หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ไม่ว่าเศรษฐกิจการเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรหุ้นกลุ่มนี้ก็ไม่ค่อยได้รับผลกระทบ และผลประกอบการก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น กลุ่มโรงแรม ,ท่องเที่ยว และโรงพยาบาล 3. หุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาล เช่น การลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน (เมกะโปรเจกต์ ) โทรคมนาคม
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า สำหรับปี2550 คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการชะลอตัวลงจากการที่ราคาน้ำมันจะทรงตัวในระดับ 60 เหรียญต่อบาร์เรล และคาดว่าปี 2553 กำลังการผลิตน้ำมันจะเพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นที่สร้างใหม่ และการที่น้ำมันสำรองยังอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งไทยจะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกหรือไม่ขึ้นอยู่กับจุดแข่งในเรื่องการส่งออก โดยเชื่อว่าปีหน้า เศรษฐกิจจะเติบโตดี แต่ก็จะมีปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ ที่จะเป็นปัจจัยลบทำให้เศรษฐกิจเติบโตระดับที่ต่ำ
ทั้งนี้ คาดว่าตคลาดหุ้นไทยปีหน้าจะมีลักษณะการแกว่งตัวคล้ายกับปีนี้ ซึ่งปัจจัยบวกที่จะเข้ามากระตุ้นการลงทุนคือ เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเม็ดเงินทั่วโลกมีจำนวนมากที่จะนำไปลงทุน เช่น การลงทุนหุ้น การซื้อที่ดิน การซื้อกิจการ สินค้าโภคภัณฑ์ฯลฯ ซึ่งจากการที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว ก็จะทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามามาลงทุนในแถบเอเซีย ส่วนปัจจับลบที่จะเข้ามากระทบคือปัจจัยทางการเมือง โดยปีหน้านักลงทุนจะต้องมีการศึกษาข้อมูลในการเลือกหุ้นลงทุน
สำหรับคะแนนการลงทุนในปีหน้าให้ 7 คะแนน ซึ่งการลงทุนในหุ้นถือว่ายังน่าสนใจอยู่ แต่ต้องรู้จักหวะที่จะเข้าไปลงทุน ซึ่งหุ้นที่น่าสนใจเข้าไปลงทุน คือ หุ้นขนาดใหญ่ เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ พลังงาน ส่วนหุ้นขนาดกลางเช่น โรงแรม โรงพยาบาล โดยตัวมองว่าควรลงทุนในหุ้น 1 ใน 3 30% ลงทุนในกองทุน ที่เหลือลงทุนในพันธบัตรตราสารหนี้ ซึ่งปัจจัยที่ตนไม่อยากให้เกิดในปีหน้า คือ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง
นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ปัจจัยเศรษฐกิจปีหน้าของไทยจะเติบโตดีจากปัจจัยกระตุ้นภายในประเทศเป็นหลัก จากอัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันลดลง รัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบประมาณ แต่ก็อาจได้รับผลประทบจากปัจจัยทางการเมือง ที่ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงอยู่ จากคลื่นใต้น้ำ
ทั้งนี้ คาดว่าตลาดหุ้นปีหน้าจะมีการผันผวนสูง หากปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะขึ้นแรง หากปรับตัวลดลงก็จะแรง ซึ่งปัจจัยบวกที่จะกระตุ้นคือเม็ดเงินต่างประเทศจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัว ส่วนปัจจัยที่จะทำให้หุ้นปรับตัวแรง คือการเมืองจากที่ยังมีคลื่นใต้น้ำ ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลจะมีการจัดการอย่างไร โดยตนให้คะแนนการลงทุนในหุ้นปีหน้าอยู่ที่ 4.5-5% โดยหุ้นที่น่าสนใจลงทุน โรงพยาบาล กลุ่มก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า และควรลงทุนในตลาดอนุพันธ์ ส่วนปัจจัยที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น คือ การก่อการร้ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KEST กล่าวว่า จากการที่ราคาน้ำมัน ดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ ปรับตัวลดลง ซึ่งจะส่งผลดีทำให้เศรษฐกิจเติบโตดี และตลาดหุ้นก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ หากปัจจัยทางการเมืองมีการดำเนินการส่งมอบอำนาจสู่ประชาชนอย่างเรียบร้อย มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปีหน้า
" เชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 780 จุด และสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 850 จุด ซึ่งถือว่าตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนมากกว่าตลาดหุ้นในแถบนี้ เพราะราคาหุ้นถูก ซึ่งบริษัทได้มีการคาดกำไรบจ.ปีหน้าเติบโต 0.84% แต่ก็อาจมีการปรับเพิ่มขึ้น โดยจะต้องมีการจับตาในเรื่องปัจจัยทางการเมือง ว่าจะมีการดำเนินการไปตามขั้นตอนที่วางไว้เรียบร้อยหรือไม่ ซึ่งตนให้คะแนนการลงทุนในหุ้น 7 คะแนน โดยปัจจัยทีไม่อยากให้เกิดขึ้นในปีหน้า คือ สงครามระหว่างประเทศ การปฏิวัติซ้อน"
สำหรับหุ้นที่สนใจเข้าไปลงทุน คือ หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากเศรษฐกิจเติบโตดีทำให้มีการขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้น หุ้นกลุ่มพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ ขนส่งทางเรือ สิ่งพิมพ์ ก่อสร้าง ซึ่งส่วนตัวมองว่าควรที่จะมีการลงทุนในหุ้น 50-60% ลงทุนประกัน 40%
|
|
|
|
|