Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์4 ธันวาคม 2549
"ยูโอบี" ยึดหัวหาดกองทุนอนุพันธ์คุ้มครองเงินต้นสู้ยุคบลจ.แข่งเดือดใช้ความเก๋าเฉพาะด้านดึงลูกค้า             
 


   
search resources

Funds
ยูโอบี (ไทย), บลจ.




ยุคแข่งเดือดส่งผล บลจ. ขนาดกลางปรับตัวหาวิถีแห่งการอยู่รอด เน้นยุทธวิธีความถนัดเฉพาะด้าน เลี่ยงเผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่เจ้าตลาดกองทุนรวมขณะเดียวกันก็ต้องลดแรงปะทะระหว่างกองทุนร่วมรุ่น หาทางเปิดตลาดใหม่ ๆ ด้วยนวัตกรรมทางการเงินที่หลากหลายแตกต่าง ซึ่ง"ยูโอบี" หนึ่งใน บลจ.ที่เริ่มตั้งไข่ หันมาเอาดีในกองทุนรวมแบบปิด ปี2550 รุกหนักเปิดอีก 5 กองทุน ที่เน้นคุ้มครองเงินต้นอิงตราสารอนุพันธ์ หลังเห็นสิงโปร์บูม ประกาศปี2550 แม้ตอนนี้จะมีแต่นักลงทุนสถาบันเป็นส่วนใหญ่

จากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.) โดยส่วนแบ่งตลาดกว่า 63.71 %เป็นของ 5 บลจ.ขนาดใหญ่ ขณะที่ บลจ.ที่เหลืออีก 13 แห่งซึ่งไม่มีธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่หนุนหลังกลับต้องมาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่เหลืออยู่อีกเพียง 1 ใน 3 ประกอบกับปีนี้ยังจะมี บลจ.ใหม่เข้ามาเปิดดำเนินการอีก 3 แห่ง ทำให้สมรภูมินี้ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นเข้าไปอีก

ภาวะเช่นนี้ บลจ.ขนาดกลางจึงมีสถานภาพเหมือนโดนกระหนาบทั้งสองด้าน ไม่ต่างอะไรกับแซนวิช ด้านหนึ่งก็ต้องสร้างผลตอบแทนและความน่าสนใจเพื่อยื้อแย่งเม็ดเงินกับ บลจ.ขนาดใหญ่ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ต้องป้องกันเม็ดเงินไม่ให้ไหลไป บลจ.ขนาดเดียวกันหรือขนาดเล็กกว่าได้

แม้ว่าจะสามารถออกกองทุนประเภทเดียวกันกับ บลจ.ขนาดใหญ่ได้ด้วยต้นทุนที่เท่ากัน แต่ทว่าความสามารถในการระดมเงินนั้นทำได้น้อยกว่า ส่งผลต่อการเรียกเก็บค่าบริหารจัดการซึ่งปกติจะได้เป็นร้อยละของมูลค่ากองทุนน้อยตามไปด้วย

ดังนั้น บลจ.ขนาดกลางและเล็กในยุคนี้จึงต้องมีความชำนาญ ความโดดเด่นเฉพาะด้าน เป็นโพสิชันนิ่งและจุดขายที่ชัดเจน เพื่อสร้างความน่าสนใจและความแตกต่าง

ยูโอบี ถือได้ว่าเป็น บลจ.แรกๆที่ได้ปรับตัวแล้ว และได้ประกาศจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะเอาดีด้านตลาดกองทุนรวมปิด ประเภทคุ้มครองเงินต้น กล่าวคือผลตอบแทนที่จะจ่ายคืนให้ผู้ถือหน่วยเมื่อครบอายุกองทุน จะใช้ดัชนีอ้างอิงตัวหนึ่งมาเป็นเกณฑ์ในการจ่ายซึ่งอาจจะเป็น ดัชนีเซ็ท 50 ดัชนีนิเกอิ 225 หรือ ดัชนีอื่นๆก็ได้ ในกรณีที่ดัชนีมีค่าลดลงกองทุนก็จะจ่ายเงินต้นเต็มจำนวนคืน แต่หากดัชนีเป็นบวกกองทุนก็จะจ่ายเงินต้นบวกด้วยผลตอบแทน

หลักการบริหารกองทุนประเภทนี้จะทำโดย แยกเงินต้นที่มีผู้นำมาลงทุนเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกประมาณ 90%จะนำไปลงทุนในพันธบัตร ซึ่งเมื่อครบดีล ส่วนนี้จะได้ดอกเบี้ยรวมเป็น 100% ถือเป็นส่วนที่ประกันเงินต้น ด้านส่วนที่ 2 อีกประมาณ10% นำไปลงทุนในตราสารอนุพันธ์ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ โดยมีเงื่อนไขว่าหากดัชนีอ้างอิงขึ้นจากวันเริ่มลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนตามที่กำหนดไว้ แต่หากดัชนีอ้างอิงต่ำกว่า ในส่วน 10%นี้ก็จะกลายเป็น0% ซึ่งหมายถึงว่าการลงทุนในส่วนของตราสารอนุพันธ์จะไม่ได้รับเงินคืน

เพราะฉะนั้นผลตอบแทนที่ผู้ถือหน่วยจะได้รับมีอยู่ 2 แนวทางหลังครบอายุกองทุน คือ ได้คืนเพียงเงินต้น และ ได้เงินต้นบวกผลตอบแทนจากอนุพันธ์ที่อ้างอิงดัชนี

อย่างไรก็ ในส่วนของการคำนวณผลตอบแทนให้แก่ลูกค้านั้นจะมีสูตรเฉพาะของกองทุนซึ่งผู้ลงทุนสามารถศึกษาได้จากหนังสือชี้ชวน หรือผู้จัดการกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุน

ความเสี่ยงของกองทุนนี้ก็คือ หากในช่วงใดมีอัตราเงินเฟ้อสูง แม้ผู้ถือหน่วยจะได้รับการจ่ายคืนเงินต้น ทว่าค่าเงินที่แท้จริงหลังหักลบกับเงินฟ้อแล้วอาจจะติดลบก็ได้

วนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี(ไทย)กล่าวว่า จะเน้นการออกกองทุนประเภทนี้เป็นหลักโดยคาดว่าในปีหน้าจะมีกองทุนที่อิงอนุพันธ์ประมาณ 5 กอง จากในครึ่งหลังของปีนี้ที่ได้เริ่มออกไปแล้ว 3 กองและกำลังอยู่ในช่วงเปิดขายอีก 1 กอง โดยเป็นกองที่อ้างอิงกับดัชนี "fin4cast" ที่บริษัทซีเมนส์ จากประเทศเยอรมันนี พัฒนาขึ้น โดยจะเชื่อมโยงและขึ้นกับตลาดหุ้นทั่วโลก

" fin4cast เป็นดัชนีที่ดีจริงๆ เจ้าหน้าที่เขาดีใจมากที่ไปค้นพบดัชนีตัวนี้เข้า ขนาดตอนที่นำมาเสนอผมเขายังตัวสั่นไม่หายเลย"

แม้กองทุนประเภทนี้จะเป็นที่นิยมมากในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะสิงคโปร์ แต่สำหรับประเทศไทยแล้วที่ผ่านมาสามารถระดมทุนได้เพียง 10-20%ของมูลค่ากองที่ 2 พันล้านบาทเท่านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนสถาบันมากกว่ารายย่อย

"สันนิษฐานว่าคงไม่ใช่เป็นเพราะกองทุนมีรูปแบบที่ซับซ้อนหรือเข้าใจยาก แต่คงจะเป็นเพราะระยะเวลาที่ต้องถือหน่วยถึง 2 ปีมากกว่าเพราะหลายคนมองว่านานเกินไป แต่สำหรับนักลงทุนสถาบันแล้วสามารถจะแบ่งเงินมาลงในกองลักษณะนี้และถือยาวได้ เป็นการกระจายความเสี่ยง"

"เราสามารถจะออกแบบให้อายุกองทุนสั้นลงได้ แต่อัตราผลตอบแทนที่ได้ก็จะลดลงตามไปด้วยเช่นกันดังนั้นจึงมองว่าระยะเวลา 2 ปีถือเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ถ้าเปรียบเทียบจากอัตราผลตอบแทนที่จะได้กับอายุที่ต้องถือ"

กองทุนประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ที่คาดว่าดัชนีน่าจะมีทิศทางที่ดีในอนาคตแต่กลัวความเสี่ยง จึงไม่กล้าลงทุนโดยตรง หากผู้ลงทุนมีความเชื่อมั่นอย่างสุดจิตสุดใจดัชนีหรือหุ้นนั้นๆจะต้องขึ้นอย่างแน่นอน คำตอบจากกองทุนนี้อาจไม่ใช่ผลตอบแทนสูงสุดที่จะได้รับ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us