Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน29 พฤศจิกายน 2549
จี้แบงก์ปรับตัวรับเปิดเสรีทางการเงินพรบ.ใหม่เปิดทางธปท.คุมอำนาจกำกับ             
 


   
www resources

โฮมเพจ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

   
search resources

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, บจก.
Economics




ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินผลกระทบพรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ ธปท.เน้นการกำกับในแนวทางของกลุ่มธุรกิจการเงินมากขึ้น พร้อมเข้มงวด-คล่องตัวในการกำกับดูแลมากขึ้น ระบุเป็นการเตรียมความพร้อมให้สถาบันการเงินในการบังคับใช้กฎหมายการเงินฉบับอื่นๆต่อไป ย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในรูปแบบ Universal Banking เพื่อรองรับการเปิดเสรีทางการเงินในอนาคต เตือนนอน-แบงก์เตรียมปรับตัวคาดแบงก์ชาติคุมเข้มทั้งดอกเบี้ย-ค่าธรรมเนียม และเงินเดือนขั้นต่ำในการทำบัตร

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินผลกระทบจากพรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังจะยื่นร่างให้ครม.เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในสัปดาห์นี้ว่า ประเด็นจะมีผลกระทบต่อสถาบันการเงินนั้น จะเป็นเรื่องของการกำกับดูแล ซึ่งคาดว่าพรบ.ธุรกิจาถบันการเงินฉบับใหม่จะให้อำนาจธปท.เต็มที่ในการดูแลความเสี่ยงทุกประเภท และสามารถออกกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับจรรยาบรรณ พร้อมบทลงโทษที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน แทนที่จะเป็นเพียงการสนับสนุนให้ปฎิบัติตาม (Moral Persuasion) แบบในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ร่างพรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินใหม่ ยังอาจเปิดโอกาสให้มีเงินกองทุนประเภทอื่นๆได้เพิ่มเติมจากเงินกองทุนขั้นที่ 1 และ 2 รวมทั้ง อาจเปิดช่องให้ธปท.สามารถกำหนดอัตราส่วนที่สำคัญให้อ่อนไหวต่อความเสี่ยงของสถาบันการเงินแต่ละแห่งมากขึ้น พร้อมกันนั้น ยังเพิ่มอำนาจให้ธปท.สามารถดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้ ในกรณีที่ได้รับความยินยอมจากเจ้ากระทรวงที่ทำหน้าที่ดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้นๆ โดยอาจทำเป็นบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) หรือสัญญาระหว่างกัน

รวมถึงให้อำนาจธปท.สามารถดูแลและควบคุมธุรกิจนอนแบงก์ (Non-Bank) ได้ชัดเจนขึ้น โดยหากธปท.เห็นว่าการประกอบธุรกิจการเงินใดของนอนแบงก์ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค ก็สามารถกำหนดรายละเอียดของการกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้นได้ในอนาคต ขณะที่ในปัจจุบัน ธปท.จะต้องอาศัยอำนาจทางอ้อมผ่านประกาศคณะปฏิวัติ (ปว.) ฉบับที่ 58 เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ผ่านการควบคุมการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมของบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล รวมทั้ง เงินเดือนขั้นต่ำของผู้สมัครบัตรเครดิต

ด้านการดำเนินการกับสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาทางการเงินจะรวดเร็ว และมีลักษณะเชิงรุกมากขึ้น โดยอาจให้อำนาจธปท.ในการเข้าแทรกแซงการดำเนินงานของสถาบันการเงินดังกล่าว ได้โดยไม่ต้องรอให้เงินกองทุนติดลบดังเช่นกฎหมายปัจจุบัน และหากอัตราส่วนเงินกองทุนดังกล่าวลดลงมากต่ำกว่าระดับใดระดับหนึ่งที่ธปท.คิดว่าจะเป็นระดับอันตราย ธปท.ก็อาจพิจารณาให้ปิดกิจการได้ เพื่อยับยั้งความเสียหายอันอาจจะเกิดขึ้นกับรัฐบาลและผู้ถือหุ้น

นอกจากนี้ คาดว่าร่าง พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินใหม่ จะเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดเวลาในการตัดสินใจสั่งการในเรื่องที่สำคัญต่างๆ เช่น การสั่งปิดกิจการ/เพิกถอนใบอนุญาต หรือการควบคุม/เข้าแทรกแซงการดำเนินงานของสถาบันการเงิน ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ด้วยการระบุเป็นจำนวนวันที่ชัดเจน จากเดิมที่มักใช้เวลานานหลายเดือนในการตัดสินใจดำเนินการกับสถาบันการเงินที่ประสบปัญหา ซึ่งเคยก่อให้เกิดผลกระทบตามมาในวงกว้างและสร้างภาระจำนวนมหาศาลต่อเงินภาษีของประชาชน

ทั้งนี้ จากประเด็นดังกล่าวศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดถึงผลกระทบเบื้องต้นต่อธุรกิจธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง โดยเชื่อว่าการกำกับดูแลของทางการไทย จะมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับรูปแบบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ไทยที่เปลี่ยนแปลงมาเป็นลักษณะกลุ่มธุรกิจการเงินมากขึ้น นอกจากนี้ ในกรณีที่สถาบันการเงินประสบปัญหาทางการเงิน การกำหนดกรอบระยะเวลาและวิธีการตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาและผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนขึ้น คงจะช่วยให้ทางการสามารถจัดการกับปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของผลกระทบลงมาก

นอกจากนี้ เนื่องจากในปัจจุบันสถาบันการเงินเฉพาะกิจหลายแห่ง ประกอบธุรกิจในลักษณะที่แข่งขันโดยตรงกับธนาคารพาณิชย์เอกชนมากขึ้น ทั้งในแง่ของสินเชื่อและผลิตภัณฑ์เพื่อการระดมทุน ดังนั้น การมอบอำนาจให้ธปท.สามารถกำกับดูแล และกำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจดังกล่าว ใช้มาตรฐานการดำเนินงานในด้านต่างๆ ที่ใกล้เคียงกับธนาคารพาณิชย์มากขึ้นนั้น คงจะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความแข็งแกร่งของระบบสถาบันการเงินในภาพรวม ขณะเดียวกัน ก็เท่ากับเป็นการสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียมในการแข่งขันมากขึ้นด้วย

ขณะที่การให้อำนาจทางตรงในการกำกับดูแลธุรกิจนอนแบงก์ อาจสร้างข้อจำกัดในการประกอบธุรกิจดังกล่าวมากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะหากธปท.เห็นว่ามีการประกอบธุรกิจในลักษณะที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค หรืออาจสร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศ

ดังนั้น แม้รายละเอียดที่ชัดเจนของร่าง พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินใหม่ คงจะขึ้นอยู่กับการเปิดเผยเพิ่มเติมในอนาคต แต่การประมวลข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องได้ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบต่อธุรกิจสถาบันการเงินที่ค่อนข้างจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับสิ่งที่ทั้งสถาบันการเงินและธปท.ได้ดำเนินการไปแล้วตามแนวทางของแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับแรก และหลักเกณฑ์ที่ธปท.เพิ่งประกาศออกมา อาทิ เกณฑ์การกำกับดูแลแบบรวมกลุ่ม หรืออีกนัยหนึ่งคือ การออกกฎหมายดังกล่าว คงจะช่วยทำให้การปรับตัวต่างๆของสถาบันการเงิน มีผลชัดเจนขึ้นทางกฎหมาย และทำให้สถาบันการเงินมีความพร้อมมากขึ้นสำหรับการบังคับใช้กฎหมายการเงินฉบับอื่นๆ ที่กำลังจะตามมาในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นร่างพรบ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งจะต้องอาศัยรากฐานของระบบสถาบันการเงินที่แข็งแกร่งเพียงพอเสียก่อน

ที่สำคัญร่างพรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินใหม่ดังกล่าว ยังย้ำถึงเจตนารมย์ของธปท.ที่ชัดเจนในเรื่องของการดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในรูปแบบของ Universal Banking การเสริมสร้างมาตรฐานในการประกอบธุรกิจให้สอดคล้องกับหลักปฏิบัติของสากล รวมทั้งความเข้มงวดในการกำกับดูแลที่เพิ่มขึ้นมาก

นอกจากนี้ จากประเด็นสำคัญที่กำลังเป็นที่จับตามองในปัจจุบัน อันได้แก่ การเปิดเสรีทางการเงิน และการกระตุ้นให้มีการควบรวมกิจการระหว่างสถาบันการเงิน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลสหรัฐฯ คงจะกดดันรัฐบาลไทยในเรื่องการเปิดเสรีทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทางการไทยคงจะหลีกเลี่ยงการเจรจาได้ลำบาก ดังนั้น สถาบันการเงินไทยและธปท.คงจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับการแข่งขันที่จะเข้ามาอย่างรุนแรงเมื่อมีการเปิดเสรีทางการเงินขึ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us