สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ ทุ่มงบลงทุนปีหน้า 700-800 ล้านบาท เตรียมเทกโอเวอร์ โรงงานหล่อเหล็กเหนียว 200 ล้านบาทคาดเสร็จ ไตรมาส2/50 พร้อมซื้อเครื่องจักรเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าเดิม-สินค้าใหม่ 600 ล้านบาท คาดปีหน้ารายได้เพิ่มจากยอดผลิตรถยนต์เพิ่มเป็น 3 ล้านคัน พร้อมปรับรายได้ปีนี้โตเหลือ 13%

นายวีระยุทธ กิตะพาณิชย์ บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมงบลงทุนในปี 50 จำนวน 700-800 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งจะนำไปลงทุนในการซื้อกิจการ(เทกโอเวอร์) โรงหล่อเหล็กเหนียว จำนวน 200 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะนำไปลงทุนซื้อเครื่องจักรในการเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าเดิมที่บริษัทผลิตอยู่เช่น เพลาข้าง จานเบรกและและเบรกดุมฯลฯ และเครื่องจักรสำหรับผลิตสินค้าใหม่ เพราะในปีหน้าบริษัทได้รับคำสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้การเข้าไปเทกโอเวอร์โรงหล่อเหล็กเหนียว เพื่อเป็นการลดต้นทุนการดำเนินงานของบริษัท จากเดิมที่บริษัทต้องมีการสั่งสินค้าจากโรงานดังกล่าว โดยแต่ละปีโรงงานดังกล่าวจะสร้างรายได้ปีละ 700 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสามารถเข้าไปเทกโอเวอร์เสร็จไตรมาส2/50 โดยโรงงานดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น1.2%

สำหรับความคืบหน้าในการเจรจากับลูกค้าใหม่ 3 ราย นั้น ขณะนี้ลูกค้ารายแรกได้มีการยกเลิกที่จะให้บริษัทมีการผลิตสินค้าให้เนื่องจาก บริษัทจะดำเนินการผลิตเอง ส่วนรายที่สองนั้น มีโอกาสที่บริษัทจะได้รับคำสั่งสิ้นค้ามีสูงมาก โดยในเดือนธันวาคม 2549 บริษัทจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อนำไปเสนอข้อมูล ส่วนรายที่สามขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลโดยที่ผ่านมาได้มีการเสนอราคาไปแล้ว ซึ่งหากบริษัทได้ลูกค้า 2 รายดังกล่าวตกลงที่จะสั่งสินค้ากับบริษัท ซึ่งจะมีมูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท

นายวีระยุทธ กล่าวว่า บริษัทได้มีการปรับประมาณการรายได้ปีนี้โต 13% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 15% จากปี 2548 ที่มีรายได้รวม 4,023.76 ล้านบาท กำไรสุทธิ 441.14 ล้านบาท ซึ่งการที่รายได้ของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะยอดผลิตรถยนต์ลดลงเหลือ 1.8 ล้านคันจากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 2 ล้านคัน จากผลกระทบของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ปัจจัยทางการเมือง และน้ำท่วม แต่อย่างไรก็ตามบริษัทก็มีอัตราการเติบโตรายได้สูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมปีนี้ที่ 11%

สำหรับแนวโน้มรายได้ปีหน้าคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากยอดการผลิตรถยนต์ในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านคัน จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง และปัจจัยการเมืองมีความชัดเจน สำหรับยอดการผลิตรถยนต์ดังกล่าวแบ่งเป็นการส่งออกจำนวน 6-6.2 แสนคัน ที่เหลือเป็นการขายภายในประเทศ