บริษัท เคมีภัณฑ์ซิเมนต์ไทย มีเอกลักษณ์ในการแถลงผลประกอบการที่เป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง ฉีกกฎเกณฑ์เดิมๆ ของเครือซิเมนต์ไทยอยู่บ่อยครั้ง จากที่เคยให้ผู้บริหารขับเจ็ตสกีมาจากกลางทะเล เพื่อเปิดงานแถลงข่าวก็เคยทำมาแล้ว และครั้งล่าสุดก็เลือกเอาบรรยากาศไร่องุ่น กรานมอนเต้ เขาใหญ่ ท่ามกลางลมเย็นต้นเดือนพฤศจิกายน เป็นสถานที่บอกเล่าเรื่องราวของบริษัทปีที่ผ่านมา

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เคมีภัณฑ์ซิเมนต์ไทย ชลณัฐ ญาณารณพ อุ่นเครื่องด้วยไวน์ขาวก่อนขึ้นแถลงผลประกอบการอย่างจริงจังว่า ผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมีภัณฑ์ในไตรมาสที่ผ่านมา มียอดขายกว่า 32,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับปีก่อนเพราะราคาของผลิตภัณฑ์ ได้ปรับตัวสูงขึ้น

หากจะดูผลกำไรเขาบอกว่า มีกำไรถึง 5,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เหตุผลที่ทำให้บริษัทกำไรสูง เพราะการนำผลดำเนินงานของบริษัทไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ (TPC) มารวมอยู่ในงบการเงินรวมนั่นเอง

ส่วนแนวโน้มของธุรกิจปิโตรเคมีในช่วงที่ผ่านมา ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น เติบโตต่อเนื่องจากปี 2548 และคาดว่าจะเติบโตต่อไปจนถึงปี 2550 เพราะว่าส่วนหนึ่งมาจากความล่าช้าของโครงการก่อสร้างโรงงานในตะวันออกกลาง

เขาบอกว่า ในส่วนของบริษัทเองที่มีแผนร่วมทุนกับรัฐบาลอิหร่าน เปิดโรงงานกำลังการผลิต 3 แสนตันต่อปี ยังต้องเจอกับโรค เลื่อนเช่นกัน

"ที่อิหร่านมีการเลื่อนตลอดเวลา และการเลื่อนแต่ละครั้งเป็น 1 หรือ 2 ควอเตอร์เป็นอย่างน้อย ไม่มีใครคาดเดาได้ อะไรก็เกิดขึ้น ได้เสมอ แต่ผมเริ่มชินแล้วเพราะอยู่มานาน"

เหตุผลที่ต้องไปลงทุนในอิหร่าน ก็เพราะว่าอยู่ในแหล่งวัตถุดิบ ไม่ต้องขนถ่ายให้เสียเวลา แต่เมื่อมาเจอสถานการณ์แบบนี้ แผนที่จะขยายโรงงานผลิตเพิ่ม ชลณัฐบอกอย่างชัดเจนว่า ขอทำโรงงานเดียวให้เสร็จก่อน แล้วค่อยกลับมาคิดใหม่

นอกจากต้องประสบปัญหาโรคเลื่อนในโรงงานแห่งใหม่แล้ว บริษัท เคมีภัณฑ์ซิเมนต์ไทย ยังต้องเจอกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้รายได้ลดลง เขาประเมินว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 1 บาทรายได้ของบริษัทจะลดลงทันที 300 ล้านบาท และในปีนี้แข็งค่ากว่า 2 บาท ตัวเลขที่หดหายไปต้องไม่น้อยกว่า 800-900 ล้านบาท และเชื่อว่าค่าเงินบาทก็จะแข็งค่าต่อไปอีกระยะหนึ่ง

งานแถลงข่าวอย่างมีพิธีรีตองก็เสร็จสิ้นลง พร้อมกับคำถาม ที่ว่า ทำไมปีนี้ไม่มีการเปิดตัวผู้บริหารแบบแหวกแนวอีก แต่ผู้บริหาร ของเคมีภัณฑ์ซิเมนต์ไทย ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง กลับคืนสู่วิถีของพวกเขา อีกครั้งหนึ่ง ด้วยการร่วมแข่งขันจักรยานแรลลี่ในช่วงบ่าย และร้องคาราโอเกะในช่วงค่ำจนถึงดึก ก่อนปิดท้ายด้วยการร่วมลอยกระทงก่อนหน้าเทศกาลลอยกระทง 2 วัน