|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ ธันวาคม 2549
|
|
เปิดตัวประกาศการกระจายหุ้นในตลาด MAI จำนวน 50 ล้านหุ้น มูลค่า 50 ล้านบาท ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สำหรับผู้ให้บริการงานระบบวิศวกรรมไฟฟ้าและโทรคมนาคมที่มีชื่อว่าเด็มโก้ หลังจากเมื่อปี 2540 ต้องยอมพับแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาแล้วครั้งหนึ่ง
เด็มโก้อาจเป็นชื่อที่ฟังดูไม่คุ้นหูของคนทั่วไป และสำนักงานออฟฟิศใหม่ที่จังหวัดปทุมธานีก็ไม่ได้หรูหราโอ่โถง ราวกับจะเน้นให้เห็นถึงชีวิตอันแสนประหยัด เรียบง่ายของประเดช กิตติอิสรานนท์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง และกรรมการผู้จัดการ วัย 55 ปี ซึ่งโปรดปรานโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกียรุ่น 3311 เหตุที่ทนทายาดจนต้องซื้อมาเก็บไว้ใช้พร้อมกันทีเดียว 3 เครื่อง ในราคาเครื่องละไม่กี่พันบาท แถมยังเป็นของมือสองอีกต่างหาก
หากมองถึงตัวรายได้ของเด็มโก้เมื่อสิ้นไตรมาส 3 ปี 2549 นั้นมีพอประมาณรวมกันได้ 1,051 ล้านบาท จากโครงสร้างรายได้ 76% อยู่ที่งานบริการรับเหมาด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและเครื่องกล, 22% มาจากการขาย และที่เหลือ 2% มาจากรายได้อื่นๆ ส่วนกำไรสุทธิไตรมาส 3 มี 86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% เทียบช่วงเดียวกันในปี 2548 (ดูรายละเอียดจากกราฟผลดำเนินงานและกำไรสุทธิ)
ทั้งนี้ เด็มโก้คาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีนี้บริษัทจะมีรายได้เพิ่มอีกกว่า 200 ล้านบาท จากมูลค่าสัญญาว่าจ้างที่ลงนามแล้วในปีนี้กว่า 1,600 ล้านบาท แต่รายได้ตามสัญญานี้คาดว่าจะมีกว่า 1,200 ล้านบาท ที่จะตกไปเป็นรายได้ของปี 2550
สำหรับที่มาที่ไปของเด็มโก้นั้น เกิดจากการรวมตัวของอดีตวิศวกรจาก กฟผ. และ กฟภ. จำนวน 6-7 คน เพื่อร่วมกันก่อตั้งกิจการแห่งนี้ในปี 2535 โดยมีประเดชเป็นโต้โผใหญ่ด้วยทุนประเดิม 6 ล้านบาท
ตั้งแต่วันแรกที่กลุ่มอดีตวิศวกรลูกหม้อค่ายการไฟฟ้า ตัดสินใจร่วมกันลงขันก่อตั้งกิจการ พวกเขามีเป้าหมายว่า จะพัฒนาให้ธุรกิจนี้ที่เริ่มต้นโรงงานผลิตเหล็กชุบสังกะสี ก่อนจะขยายมาสู่การเป็นผู้ให้บริการงานระบบวิศวกรรมไฟฟ้าและโทรคมนาคมในอีกไม่กี่ปีต่อมา กลายไปเป็นบริษัทมหาชนให้ได้
สำหรับประเดชนั้น เคยเป็นอดีตหัวหน้าแผนกออกแบบระบบไฟฟ้าของ กฟภ. มายาวนาน 15 ปี นับตั้งแต่เริ่มงานที่ กฟภ. ในปี 2518 หลังจบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ด้านไฟฟ้ากำลัง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในวันที่ออกจาก กฟภ. ประเดชไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นผู้รับเหมา เพราะมีเป้าว่าจะย้ายไปอยู่ในสาย consumer product โดยกลับบ้านไปเป็นเอเย่นต์ขายเหล้าในร้านของพ่อ พร้อมความหวังที่ว่าจะช่วยขยายกิจการให้ใหญ่โต
"บ้านผมทำค้าขาย มีร้านขายเหล้าและพวกของชำ ผมเลยคิดว่าอยากจะไปลุย consumer product ให้มันโต แต่พอออกมาแล้ว งานก็ยังไม่โตพอ ทุนก็มีไม่เยอะ มันก็กลายเป็นเบื่อ ตอนนั้นทางเทด้า เขาขาดคนผมก็เลยไปทำที่นั่น" กรรมการผู้จัดการ เด็มโก้ เล่าถึงอดีตในวันนั้นกับ "ผู้จัดการ"
เทด้าเคยเป็นบริษัทรับเหมาที่ทำงานคล้ายกับเด็มโก้ในปัจจุบัน โดยประเดชเข้าร่วมงานที่บริษัทนี้ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการของบริษัทได้แค่ 3 ปี เพราะรู้ว่าเขาไม่เหมาะกับการทำงาน ในธุรกิจแบบครอบครัว อีกทั้งเขายังอยากทำงานด้านวิศวกรในกิจการ ที่คิดจะสร้างตัวให้เป็นมหาชน
"เด็มโก้เริ่มจากเพื่อนฝูง ตอนนั้นเราเลยตั้งนโยบายว่าต้องไม่ทำ แบบระบบครอบครัว เราต้องหามืออาชีพมาทำงาน มาถึงตอนนี้ที่นี่จึงไม่มีลูกหลานผู้บริหารคนไหนเข้ามา เพราะเราไม่อยากให้เด็มโก้เป็นบริษัทครอบครัว ผมบอกลูก 2 คนให้ไปทำอย่างอื่น อย่ามาเป็นวิศวกรอย่างผม เพราะมันเหนื่อย" กรรมการผู้จัดการ เด็มโก้ เล่า
ที่เหนื่อยสุดสำหรับประเดช และคนในเด็มโก้นั้น น่าจะต้องเป็นหลังจากที่เศรษฐกิจถล่มครั้งใหญ่กลางปี 2540 แต่ที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อคือคนในเด็มโก้เคยผ่านการทำงานอันเหลือเชื่อมาแล้วเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานขับรถตระเวนรับซื้อกล่องกระดาษหรือของเก่าทิ้งแล้ว มาแลกขายเป็นเงิน
แถมด้วยพนักงานในฝ่ายอบรม คนจากฝ่ายขายแผนกที่ไม่มีงานให้ทำตอนนั้น และประเดชด้วยนั้น ยังต้องช่วยกันแบกเหล้าที่มีในร้านชำของพ่อเขาใส่ท้ายรถปิกอัพของเด็มโก้ขับไปเร่ขาย ทั้งบางทียังต้องเปิดให้บริการล้างรถ เพื่อนำเงินจำนวนเท่าที่พอจะหาได้ กลับมาช่วยแบกรับค่าใช้จ่าย และดูแลคนในกิจการที่ถูกประเดชหั่นลงไปครึ่งจากที่เคยมีร่วม 300 ชีวิต
"ปี 40 จริงๆ เราจะเข้าตลาดฯ แล้วนะ ก่อนที่จะเข้าตลาดฯ 1-2 ปี ทาง บง.กรุงเทพธนาธร และ IFCT กับโนมูระร่วมกันตั้งกองทุน มาซื้อหุ้นในส่วนที่เป็น private investment จากเรา ในราคาหุ้นละ 170 บาท จากพาร์ 100 บาท
ตอนนั้นเราจะเพิ่มทุนอีก 60 ล้านบาทให้บริษัทอเมริการายหนึ่ง ที่จะมา join เป็น partner ทำงานในเมืองไทยกับเรา แล้วเขาก็ยกเลิก คืออยู่ๆ เขาก็มาบอกผมว่าเรามี country risk ผมก็ไม่เข้าใจ ความเสี่ยงระดับประเทศนี่ไม่ใช่ความเสี่ยงของบริษัทเรา แต่โอ้โห! มันระดับประเทศจริงๆ
ลดค่าเงิน นอนตื่นมาวันรุ่งขึ้นขาดทุนไป 90 กว่าล้าน ปีนั้นเรามีงาน กฟภ. บางโครงการราคาที่รับ มา 200-300 ล้านบาท และยังมีงาน inter อีก 2 โครงการที่เป็นดอลลาร์ 700 ล้านบาท เราเลยโชคดี เจ็บตัวไม่มาก แต่ก็ยังลำบากมาก แบงก์กรุงเทพที่เคย support เราก็มีปัญหาเลยหยุดปล่อยกู้
ปี 40 เราตั้งเป้าว่าจะมีกำไร 100 ล้านบาท ขาดทุนงาน กฟภ.ที่เป็นเงินบาท 200 ล้านบาท ก็ติด ลบไป 100 ล้าน แต่ได้ส่วนล้ำค่าหุ้นที่ทางกรุงเทพธนาธร IFCT และโนมูระฯ ขายคืนให้ในราคา 100 บาท กลับมาอีก 80 กว่าล้าน ก็พอจะเอามาลดขาดทุนลงได้อีกหน่อย เบ็ดเสร็จปีนั้นขาดทุนไป 100 กว่าล้าน" ประเดชบอก
แต่ยังดีที่ว่าเด็มโก้เคยมีประวัติสั่งจ่ายเช็คทุกอาทิตย์แบบไม่เคยเด้งที่ได้สั่งสมไว้กับกลุ่ม suppler มาตั้งแต่อดีต จนถึงวันที่ต้องยืนโต้ในวิกฤติ ธุรกิจต่างขาดสภาพคล่อง แต่เช็คของเด็มโก้ ลูกหนี้แบงก์กรุงเทพ ยังรักษาความน่าเชื่อถือไว้ได้ และตลาดก็ยังยินดีที่จะรับซื้อ
ประเดชบอกว่าการรักษาประวัติตรงนี้ถือเป็นเจตนารมณ์ของพวกเขาตั้งแต่เริ่มว่า จะไม่ยอมจ่ายเช็คเด้ง จะไม่เบี้ยวหนี้ใคร และจะไม่ขอลดต้นลดดอกหรือหยุดจ่ายหนี้กับแบงก์กรุงเทพ
เด็มโก้เคยเริ่มคิดที่จะเข้ากระจายหุ้นในตลาดอีกครั้ง เมื่อ 2 ปี ก่อน แต่ไม่ง่ายเหมือนเมื่อ 9 ปีก่อน เพราะกฎเกณฑ์เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่ว่าจะเรื่องธรรมาภิบาล หรือมาตรฐานบัญชีใหม่ เด็มโก้จึงต้องเสียเวลาจากการจ้างที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาช่วยให้จัดการกับระบบบัญชีในกิจการของตนที่ยังอ่อนกว่ามาตรฐานในหลายๆ จุด
เหตุผลที่ต้องย้ายมา list ใน MAI เป็นเพราะเงินทุนจดทะเบียน ของเด็มโก้ที่มี 215 ล้านบาทนั้น ยังต่ำกว่ามาตรฐานขั้นต่ำ 300 ล้านบาทที่ตลาดฯ เพิ่งจะประกาศใช้
บทเรียนในช่วงวิกฤติทำให้เด็มโก้เรียนรู้หลายอย่าง ไม่เพียงแค่นัยของคำว่า "country risk" แต่ยังรู้ซึ้งถึงคุณค่าความหมายในคำว่า "diversification" จากการมีโครงการในรูปที่เป็นดอลลาร์ และประเดชบอกว่าเด็มโก้กำลังเตรียมที่จะจับมือกับพันธมิตรต่างชาติ เพื่อพาตัวเองออกไปทำโครงการระดับ inter ในต่างประเทศให้มากขึ้นแล้ว
แต่ก่อนจะ go to inter ได้นั้นก็ต้องตระเตรียมความพร้อมทั้งความรู้ด้านการบริหารจัดการ และทักษะการใช้ภาษาอังกฤษให้แก่คนของเด็มโก้ ซึ่งในอนาคตต้อง deal กับต่างชาติมากขึ้น
ประเดชบอกถึงการเตรียมการตรงนี้ว่า ปัจจุบันเด็มโก้ได้ออกทุนส่งพนักงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิศวกรบริษัท ให้เข้าเรียนคอร์ส ภาษาอังกฤษตั้งแต่ระดับ 1 จนถึงระดับ 15 ที่ศูนย์สอนภาษา AUA เช่นเดียวกับการกำหนดให้คนของเด็มโก้ต้องเรียนให้สูงถึง MINI MBA เป็นอย่างน้อย
|
|
|
|
|