"คาราโอเกะ" ดนตรีที่ว่างเปล่า ความบันเทิงอันชื่นชอบของคนญี่ปุ่น
กำลังฮิตและระบาดในเมืองไทย นับเป็นการลงทุนแห่งยุคสมัยในธุรกิจบันเทิง ด้วยจุดเด่นที่ขายความสุขสนุกสนานกับการแสดงออกทางเสียงเพลงโดยไม่ต้องอาศัยวงดนตรี
วันนี้…คลับคาราโอเกะได้ผุดขึ้นมามากมายบนถนนบันเทิงยามราตรีและมีทีท่าว่าอีกนานกว่าจะถึงจุดอิ่มตัว
ในความหลากหลายบนถนนธุรกิจบันเทิงยามราตรี "คาราโอเกะคลับ" หรือ
"คาราโอเกะเลาจน์" เป็นหนึ่งในความบันเทิงรูปแบบใหม่ที่กำลังเฟื่องฟู…!!
และเป็นที่นิยมกันในหมู่นักธุรกิจ นักเที่ยวกลางคืน
เพราะดูเหมือนว่าเมื่อเอ่ยถึงชื่อ "คาราโอเกะ" แล้ว ไม่มีใครเลยที่จะไม่รู้จักกับชื่อนี้
ไม่ว่าจะเป็น คาราโอเกะคลับ คาราโอเกะเลาจน์ ผับคาราโอเกะ หรือแม้แต่ในร้านอาหาร
ภัตตาคาร และคาเฟ่ ล้วนแต่นำความบันเทิงประเภทนี้เข้ามาเสริม เพื่อสนองตอบการบริการให้ลูกค้า
ได้แสดงออกและสนุกสนานกันเพิ่มมากขึ้นทั้งนั้น
"คาราโอเกะ" (KARAOKE) นั้น ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่น
หรือจะเรียกว่ากลายเป็นวัฒนธรรมไปแล้วก็ได้ และได้กระจายออกไปอย่างกว้างขวางทั่วโลก
ตามกระแสการแผ่ขยายอำนาจทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ไม่ว่าคนญี่ปุ่นจะไปอยู่ที่ใด
จะต้องมีคาราโอเกะไว้คอยสนองความบันเทิงอยู่ด้วย คนท้องถิ่นในประเทศต่างๆ
ก็พลอยรับเอารูปแบบความบันเทิงนี้เข้าไปโดยปริยาย กลายมาเป็นที่รู้จักเรียกขานกันจนติดปากของคนทุกชาติทุกภาษาในเอเชีย
โดยความหมายของภาษา จะแยกได้เป็น 2 คำ คือคำว่า "คารา" แปลว่า
"ว่างเปล่า" และ "โอเกะ" แปลว่า "ดนตรีหรือออเครสต้า"
ฉะนั้นเมื่อนำมารวมกันเข้าจึงหมายความว่า ดนตรีที่ว่างเปล่า หรือดนตรีที่มีแต่ทำนองที่ไม่มีเนื้อร้อง
ดนตรีในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองคนที่ชื่นชอบการร้องเพลงเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเพียงเปิดดนตรี สามารถที่จะร้องเนื้อเพลงตามไปพร้อมๆ กัน แทนที่จะต้องใช้นักดนตรีเป็นผู้บรรเลงดนตรีทั้งวง
ที่ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง แต่คาราโอเกะทำให้เกิดความสนุกสนานกับการร้องเพลงในรูปแบบง่ายๆ
แต่คุ้มค่า
ความเป็นมาของ "คาราโอเกะ" นั้น ผู้คลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิงยามราตรีและเจ้าของคาราโอเกะคลับท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า
หลังจากที่ประเทศญี่ปุ่นต้องพ่ายแพ้ต่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชาชนชาวญี่ปุ่นระงมไปด้วยความโศกเศร้า
หดหู่กับสงคราม
และได้เกิดความยากจนข้นแค้นไปทั่วทุกแห่งหน บีบคั้นจนเป็นผลให้ชาวญี่ปุ่นทนอยู่ในสภาวะที่กดดันเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะที่ทุกคนมีความตั้งใจว่าต้องร่วมมือกันสร้างชาติให้ฟื้นคืนมาในเร็ววัน
จึงพยายามที่ลดความตึงเครียดเท่าที่พอจะทำได้ ดนตรีหรือการร้องเพลงจึงเป็นหนทางที่ช่วยคลายเครียด
จากความกดดันเช่นนั้นได้ดีพอควร
หลังจากนั้นมาในปี พ.ศ. 2503 นักร้องอาชีพของญี่ปุ่นได้เริ่มหวนคืน กลับขึ้นสู่เวทีการแสดงอีกครั้ง
แต่การแสดงทั้งหลายจำต้องลดต้นทุนลดค่าใช้จ่ายลงไป เพราะต้องการประหยัด จึงมีการนำเอาดนตรีที่ใช้ในการบันทึกแผ่นเสียง
ซึ่งไม่มีเนื้อร้องมาเป็น "แบ็กอัพ" แทนวงดนตรีที่มีนักดนตรีหลายๆ
คน
จนทำให้ตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา บาร์และผับทั่วประเทศญี่ปุ่นจึงเริ่มมีเครื่องเล่นที่จะให้แขกที่มาเที่ยวได้ขึ้นร้องเพลงตามชอบใจ
และได้พัฒนาเทคโนโลยีกันเรื่อยมา เพื่อให้เสียงร้องของแขกที่ร้องออกไปดียิ่งขึ้น
ด้วยการใช้เครื่องเสียงชั้นดีที่พวกเขาเรียกกันว่า "คาราโอเกะ"
มาแทนวงดนตรีในปัจจุบัน
การร้องเพลงเป็นการคลายเครียดอย่างหนึ่ง คนญี่ปุ่นจึงชอบร้องเพลงและมักจะร้องกันเก่งทุกคน
ฉะนั้นเมื่อคนญี่ปุ่นชอบร้องเพลงเป็นทุนเดิม คาราโอเกะเกิดขึ้นมาตอบสนองได้ดี
เลยทำให้คาราโอเกะในญี่ปุ่นบูมขึ้นเป็นอย่างมาก กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนญี่ปุ่นไป
คาราโอเกะมีพัฒนาการจากที่เคยเป็นเครื่องเทปเล็กๆ ที่บรรจุคาสเซตต์มีแต่เสียงดนตรี
พัฒนามาเป็นวิดีโอ แล้วก็มาถึงขั้นเป็นเลเซอร์ดิสก์ เนื้อร้องเพลงนั้น จากที่เคยจดลงกระดาษได้แปรสภาพเป็นตัวอักษรบนจอทีวี
ซึ่งมีการพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้งอย่างในปัจจุบัน
"ธนิยะ" จุดเริ่มต้นของคาราโอเกะเมืองไทย
จริงๆ แล้ว หากจะกล่าวว่า คาราโอเกะสำหรับเมืองไทยไม่ได้เป็นของใหม่ เห็นจะไม่ผิด
เพราะคาราโอเกะได้เข้าสู่เมืองไทยมาสัก 10 ปีที่แล้ว
แต่ว่าคาราโอเกะในสมัยแรกเริ่มจะอยู่เฉพาะในบาร์ญี่ปุ่นแถวถนนธนิยะ สีลม
เพื่อให้บริการลูกค้าญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าบาร์ญี่ปุ่นหรือคลับต่างๆ บนถนนธนิยะในอดีตจะเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเป็นที่พักผ่อน
สำหรับนักธุรกิจนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น
จนมีผู้กล่าวกันว่า วัฒนธรรมของญี่ปุ่นหลายๆ อย่างเข้ามาในประเทศไทยได้เข้ามาที่
"ธนิยะ" ก่อนใคร
"หลิน จง" หรือใครๆ เรียกเขาว่า "อาจง" เขาเป็นนักธุรกิจชาวไต้หวัน
ทำธุรกิจ "คาราโอเกะคลับ" ระดับอินเตอร์อยู่หลายแห่งทั้งในไต้หวันและฮ่องกง
เขาเข้ามาเปิดกิจการคาราโอเกะ ใช้ชื่อว่า "กัมปาย" ในเมืองไทย
เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นยุคแรกๆ ของคาราโอเกะคลับที่ได้มาตรฐานเช่นเดียวกับไต้หวัน
ฮ่องกง
"อาจง" เล่าให้ฟังว่า ตอนที่เขาเปิดคาราโอเกะขึ้นในเมืองไทยใหม่ๆ
นั้น แผ่นเลเซอร์ดิสก์เพลงไทย หรือวิดีโอเพลงไทยยังไม่มีใครทำ แล้วคนไทยหลายๆ
คนยังไม่รู้จักว่าคาราโอเกะเป็นอย่างไรกันเลย
ช่วงแรกๆ จึงเน้นที่การให้บริการแก่นักธุรกิจและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทยก่อน
ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง หรือเกาหลี คนเหล่านี้จะรู้จักคาราโอเกะเป็นอย่างดี
เพราะเขาได้สัมผัสมาก่อนประเทศไทย
ลักษณะของการบริการในบาร์ญี่ปุ่น ไม่ต่างกับในประเทศญี่ปุ่นมากนัก จะมีเหล้าสาเก
มีผู้หญิงไว้คอยบริการ และส่วนหนึ่งจะเป็นบริการให้แขกได้ร้องเพลงซึ่งจะใช้วงดนตรีทั้งวงเป็นคนบรรเลง
แล้วให้แขกสลับกันขึ้นมาร้อง เพราะคนญี่ปุ่นชอบร้องเพลงกันมาก
มีเจ้าของคลับที่ธนิยะหลายคนเป็นคนญี่ปุ่นที่ได้นำดนตรีคาราโอเกะเข้ามาบริการแก่ลูกค้า
ด้วยสาเหตุที่นักดนตรีในยุคนั้นมีปัญหาบ่อยครั้ง เช่นเรื่องการเบี้ยว ไม่มาเล่นตามเวลาที่ตกลงกันไว้
นอกจากนั้นยังต้องเสียค่าจ้างแพงด้วย จึงทำให้เจ้าของร้านตัดปัญหาด้วยการใช้ดนตรีคาราโอเกะ
เข้ามาแทนการจ้างวงดนตรีมาเล่นเหมือนกับในญี่ปุ่นเกือบทุกร้าน
รูปแบบของคาราโอเกะแรกๆ ที่นำมาใช้ เรียกกันว่า "ดนตรี แปดแทรค"
คือจะมีเครื่องเล่น และม้วนเทปที่มีลักษณะคล้ายกับเทปเพลงทั่วไป แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่าเทปธรรมดาสักหน่อย
ลักษณะการใช้เช่นเดียวกับการเปิดเทปเพลงแต่แตกต่างกันที่เครื่องเล่นชนิดนี้จะไม่มีเสียงร้องมีเฉพาะเสียงดนตรีเพียงอย่างเดียว
แขกที่มาเที่ยวจะร้องเพลง โดยมีเนื้อเพลงเขียนไว้ในกระดาษกางเอาไว้ ให้ดูและร้องตามไป
นั่นคือสมัยเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว (เป็นยุคที่ถัดมาจากการใช้วงดนตรีในสมัยต้นๆ)
"การบริการของคลับในธนิยะในช่วงแรกๆ จะรับเฉพาะคนญี่ปุ่น ไม่รับคนไทย
เพราะว่าชาวญี่ปุ่นมีลักษณะพิเศษ คือไม่ชอบข้องแวะกับคนแปลกหน้า ซึ่งค่าใช้จ่ายในบาร์ญี่ปุ่นมีราคาที่แพงมาก
แพงพอๆ กับการเที่ยวในญี่ปุ่นเลยทีเดียว และบ่อยครั้งที่ลูกค้าชาวไทยมักจะเบี้ยวการจ่าย
เลยทำให้ไม่เป็นที่ต้องการของเจ้าของคลับเหล่านั้น" อาจง เล่าให้ฟัง
แต่ต่อมานโยบายของบาร์หรือคลับที่ธนิยะเหล่านี้ หลายแห่งได้เปลี่ยนแปลงไป
มีการรับลูกค้าคนไทยมากขึ้น เพื่อความอยู่รอดในทางธุรกิจ
จากที่เคยจำกัดอยู่ในแหล่งบันเทิงย่านถนนธนิยะ ทุกวันนี้คาราโอเกะเริ่มแพร่หลาย
กลายเป็นรูปแบบความบันเทิงใหม่ในยามราตรีทั่วกรุงเทพฯ และตามเมืองใหญ่ๆ ของประเทศไทย
เป็นความบันเทิงที่แทรกซึมลงไปในทุกระดับของสถานบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นคลับชั้นสูง
โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหารหรือคาเฟ่ สนองอารมณ์ผู้บริโภคทั้งระดับสูง กลาง
ต่ำ
จุดขายหลักของความบันเทิงแบบคาราโอเกะก็คือ ลูกค้าสามารถใส่เสียงร้องสดๆ
ของตัวเองประสานเข้าไปกับทำนองเพลงที่ออกมาจากเครื่องคาราโอเกะได้ เสมือนกำลังร้องเพลงอยู่กับวงดนตรีจริงๆ
โดยที่ไม่จำเป็นต้องจำเนื้อร้องได้ เพราะจะมีเนื้อเป็นตัววิ่งตามจังหวะของดนตรีให้อ่าน
ซึ่งนับเป็นการตอบสนองต่อความต้องการแสดงออกของปุถุชนได้เป็นอย่างดี และยังเป็นรูปแบบความบันเทิงที่ผู้มาใช้บริการมีส่วนร่วมได้แตกต่างไปจากการเป็นผู้ฟังเพียงฝ่ายเดียว
คุณสมบัติข้อนี้นำมาซึ่งความสนุกสนานและเป็นช่องทางระบายอารมณ์ความรู้สึกได้
จึงทำให้คาราโอเกะผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดในยามนี้
"จากการสำรวจตลาดของเราเมื่อสิ้นปีที่แล้ว ในกรุงเทพฯ มีสถานบันเทิงที่มีคาราโอเกะประมาณ
400 กว่าแห่ง ผมคิดว่าตอนนี้น่าจะเกิน 500 แห่งไปมากแล้ว เพราะมีขึ้นมาใหม่ทุกเดือน"
ฉิน เซียะ นักธุรกิจชาวไต้หวัน ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทลีโอ อินเตอร์เนชั่นแนล
เทรดดิ้ง ผู้เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับคาราโอเกะไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น
เครื่องเสียง ไปจนถึงแผ่นเลเซอร์ในประเทศไทย
ฮาร์ดแวร์-ซอฟต์แวร์ จุดก่อเกิดความบูม
ปัจจัยที่ทำให้คาราโอเกะเป็นที่แพร่หลายอีกประการหนึ่งก็คือ วิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีเครื่องใช้ไฟฟ้า
ที่ทำให้อุปกรณ์คาราโอเกะมีราคาถูกลงและมีคุณสมบัติการใช้งานได้มากขึ้น
เครื่องเล่นคาราโอเกะนั้น จะมีส่วนสำคัญอยู่ 2 ส่วนคือตัวเครื่องเล่น หรือ
"ฮาร์ดแวร์" อาทิ เครื่องเล่นเทปคาราโอเกะ เครื่องเล่นวิดีโอคาราโอเกะ
และเลเซอร์ดิสก์ คาราโอเกะ และส่วนที่ 2 ก็จะเป็น "ซอฟต์แวร์"
คือแผ่นเพลงหรือเทปเพลงที่จะมาใช้ร่วมกับเครื่องเล่น
สมัยที่อุปกรณ์คาราโอเกะเข้ามาในเมืองไทยใหม่ๆ ประมาณ 4-5 ปีที่แล้วมา
สินค้าคาราโอเกะถูกมองว่าเป็นสินค้า "ไฮเทค" เครื่องเล่นในสมัยแรก
จึงเป็นความทันสมัย คือเป็นเครื่องเลเซอร์ดิสก์เสียเกือบทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นตลาดระดับสูง
โดยมีสินค้าของ "ไพโอเนียร์" ภายใต้การจัดจำหน่ายของเซ็นทรัล เทรดดิ้ง
จำกัด (สมัยที่ยังไม่แยกตัวมาทำเอง) เป็นผู้บุกเบิกตลาดและนำเข้ามาจัดจำหน่ายเป็นรายแรก
และต่อมาก็มีค่าย "พานาโซนิค" หรือในนามบริษัท ซิวเนชั่นแนล จำกัด
ในฐานะของยักษ์ใหญ่วงการเครื่องใช้ไฟฟ้าญี่ปุ่นได้นำเลเซอร์คาราโอเกะเข้ามาเช่นกัน
แต่ข้อจำกัดของเครื่องคาราโอเกะแบบเลเซอร์นี้ราคาสูงมาก ตลาดจึงแคบ สินค้าที่ขายได้มากกว่ากลับเป็นเครื่องเล่นเทปคาสเซตต์คาราโอเกะ
ซึ่งมีการนำเข้ามาจากไต้หวัน และฮ่องกง ในราคาเพียงไม่กี่พันบาท ลูกค้าหลักคือนักร้องที่ซื้อไปเพื่อฝึกร้องเพลง
ต่อมามีการนำเครื่องเล่นเทปคาราโอเกะรุ่นที่พัฒนาอีกขั้นหนึ่งเข้ามา ซึ่งเครื่องเล่นเทปคาราโอเกะเหล่านี้จะมีลูกเล่นมากขึ้น
เช่น เมื่อผู้ร้องเพลงคาราโอเกะหยุดร้อง เสียงนักร้องจริงก็จะดังขึ้นมาแทน
แต่เมื่อเสียงร้องดังขึ้นมาอีก เสียงนักร้องจริงก็จะหยุดไป ช่วยให้หัดร้องได้ดีขึ้นเพราะจะรู้ทำนองและสามารถจำคำร้องได้ดีขึ้น
สะดวกกว่าการอ่านเนื้อเพลงตามหนังสือ และยังมีระบบเสียงที่ดีกว่าเดิม สามารถปรับเสียงร้องให้ก้องกังวานได้
จากเทปคาสเซตต์ที่ให้เฉพาะเสียง พัฒนาการขั้นต่อมาคือ เครื่องเล่นวิดีโอคาราโอเกะ
ที่ให้ทั้งภาพและเสียง รวมทั้งเนื้อร้องที่ปรากฏบนจอภาพด้วย โตชิบา เป็นรายแรกที่นำเข้าเครื่องเล่นวิดีโอคาราโอเกะมาจำหน่าย
รายที่สองคือบริษัทซิวเนชั่นแนล ที่นำยี่ห้อพานาโซนิคเข้ามาขาย และผู้จำหน่ายรายที่
3 คือ บริษัทชาร์ป เทพนคร
แต่เครื่องเล่นวิดีโอก็มีขีดจำกัดในการเล่น อย่างเช่นเลือกเพลงไม่ได้ ไม่สามารถเปลี่ยนเพลงได้ในทันที
ต้องกรอเทปกลับเสียก่อน ระบบเสียงไม่เป็นไฮไฟสเตริโอ ตลาดจึงอยู่ในวงจำกัด
ผู้ซื้อส่วนใหญ่ซื้อเอามาใช้หัดร้องเพลงที่บ้าน หรือใช้สำหรับการสอนในโรงเรียนบ้าง
วิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีทำให้ "เลเซอร์ดิสก์คาราโอเกะ" มีราคาถูกลง
ถึงแม้จะยังคงแพงกว่าวิดีโอ แต่คุณภาพที่ดีกว่า โดยเฉพาะจุดเด่นที่สามารถเลือกเพลงได้รวดเร็ว
เล่นเพลงซ้ำไปซ้ำมาได้หลายครั้ง โดยไม่สึกหรอง่ายเหมือนวิดีโอเหมาะสำหรับใช้ในการทำธุรกิจร้านคาราโอเกะที่ต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันใจ
ตลาดเลเซอร์คาราโอเกะจึงเริ่มขยายตัวเข้าไปในกลุ่มลูกค้าสถานบันเทิง โดยมียี่ห้อไพโอเนียร์และพานาโซนิค
เป็นสองยี่ห้อหลักที่ขับเคี่ยวกันอยู่
ความแพร่หลายของสถานบันเทิงแบบคาราโอเกะ นอกจากเพราะ "ฮาร์ดแวร์"
มีราคาถูกลงจนสถานบันเทิงระดับกลางหรือระดับล่างสามารถลงทุนได้แล้ว ยังเป็นเพราะ
"ซอฟต์แวร์" คือแผ่นเลเซอร์หรือวิดีโอที่จะเล่นกับเครื่องมีให้เลือกมากขึ้นโดยเฉพาะที่เป็นเพลงไทย
"จะมีสักกี่คนที่ร้องเพลงสากลหรือเพลงญี่ปุ่นเจ้าของต้นฉบับได้ สำหรับเมืองไทยต้องมีเพลงไทยให้ร้อง
จึงจะประสบความสำเร็จ" นี่เป็นปัญหาการตลาดของคาราโอเกะในเมืองไทย ที่ไม่ต้องตีความใดๆ
เลย
และเป็นคำตอบได้ดีว่าทำไมตลาดคาราโอเกะในช่วงแรกของไทย ไม่เติบโตเท่าที่ควร
เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชียด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง ไต้หวัน
หรือสิงคโปร์
ผู้บุกเบิกการผลิตซอฟต์แวร์เพลงไทยก็คือผู้ที่นำเข้าฮาร์ดแวร์เข้ามาขายนั่นแหละ
เพราะหากมีเครื่องเล่น แต่ไม่สามารถซื้อเพลงได้สะดวก หรือมีให้เลือกจำกัด
เท่ากับปิดทางโตของธุรกิจฮาร์ดแวร์ไปแล้วครึ่งหนึ่ง
โตชิบาซึ่งเป็นรายแรกที่นำเครื่องวิดีโอคาราโอเกะเข้ามาขาย จึงจับมือนิธิทัศน์
โปรโมชั่น ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ผลิตเทปวิดีโอคาราโอเกะเพราะนิธิทัศน์เองมีเทปเป็นมิวสิควิดีโออยู่เป็นจำนวนมาก
สามารถดัดแปลงเป็นวิดีโอคาราโอเกะได้อย่างง่ายๆ เพียงแต่ใส่เนื้อร้องเข้าไป
และดูดเสียงร้องออกให้เหลือแต่ทำนอง ก็สามารถสร้างสินค้าอีกตัวหนึ่งขึ้นมารองรับตลาดใหม่
โดยมีต้นทุนต่ำมาก เพราะมีวัตถุดิบอยู่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนคู่แข่งของโตชิบา คือพานาโซนิคก็ใช้วิธีการแบบเดียวกัน ด้วยการร่วมมือกับแกรมมี่ทำคาราโอเกะออกมาสู่ท้องตลาดเช่นกัน
เฉพาะสต็อคเพลงของทั้งสองค่ายยักษ์ใหญ่นี้ ก็มากพอที่จะหมุนเวียนให้แหล่งบันเทิงคาราโอเกะสับเปลี่ยนกันความซ้ำซากได้อย่างสบายแล้ว
เช่นเดียวกับซอฟต์แวร์ที่อยู่ในรูปแบบของแผ่นเลเซอร์คาราโอเกะเพลงไทยก็เริ่มมีการผลิตกันแพร่หลายมากขึ้น
เพื่อรองรับการขยายตัวของเครื่องเล่นเลเซอร์
"เซ็นทรัล เทรดดิ้ง" ในขณะที่ยังเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของไพโอเนียร์อยู่
ได้เป็นตัวกลางติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์เพลงจากค่ายคีตา เรคคอร์ด เพื่อเอาเพลงไทยเหล่านั้นมาทำเป็นเลเซอร์ดิสก์
เพราะมีหนทางเดียวที่จะพัฒนาตลาดคาราโอเกะในเมืองไทยให้เป็นของเล่นชนิดใหม่
จำต้องมีเพลงไทยไว้เป็นหัวหอกในการเจาะตลาด
ลิขสิทธิ์ที่ทางเซ็นทรัล เทรดดิ้ง ได้จากคีตาเป็นงานเพลงชุดรวมฮิต 1 ชุด
และเพลงชุดของเยื่อไม้อีก 1 ชุด และเมื่อเครื่องเลเซอร์คาราโอเกะเริ่มแพร่หลาย
ค่ายเพลงที่เคยผลิตวิดีโอคาราโอเกะก็ขยับขยายหันไปผลิตแผ่นเลเซอร์คาราโอเกะด้วยเช่นกัน
อย่างเช่น แกรมมี่ นิธิทัศน์ และอาร์เอสซาวด์ ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์วงการเพลงไทย
ผู้ผลิตอีกส่วนหนึ่ง จะเป็นเอเย่นต์ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์เพลงไปทำเอง โดยส่งไปบันทึกและก็อปปี้ลงแผ่นในต่างประเทศ
แล้วนำกลับมาขายผ่านยี่ปั๊วและซาปั๊ว
บริษัทลีโอ อินเตอร์เนชั่นแนล เทรดดิ้งของฉิน เซียะ ก็เป็นรายหนึ่งที่ทำการผลิตในลักษณะนี้
นอกเหนือจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายแผ่นจากต่างประเทศ
ฉิน เซียะ เล่าถึงขั้นตอนของการทำแผ่นเลเซอร์ดิสก์เพลงไทยให้ฟังว่า ต้องออกหาซื้อลิขสิทธิ์เพลงไทย
จากค่ายเพลงต่างๆ โดยมักจะไปสอบถามจากผู้ที่อยู่ในวงการเพลงว่า ช่วงนี้เพลงอะไรที่ฮิตติดตลาดกันอยู่บ้าง
จากนั้นก็นำมาจัดเป็นอัลบั้ม ส่งไปทำเป็นแผ่นที่ญี่ปุ่น โดยจะเอามาสเตอร์เพลงส่งไป
หากเป็นคอมแพ็คดิสก์ยิ่งดีมาก เพื่อให้ทางญี่ปุนอัดลงแผ่นหลังจากนั้นทางญี่ปุ่นจะส่งคนมาถ่ายรูปประกอบ
จะเลือกสถานที่ถ่ายทำซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นชายทะเลหรือภูเขา แล้วจ้างนักแสดงมาในฉาก
หลังจากนั้นก็นำมาอัดลงแผ่นที่บันทึกเสียงไว้แล้ว ออกมาเป็นแผ่นเลเซอร์
"ต้นทุนการทำเพลงไทยเพลงหนึ่งต่อหนึ่งแผ่นจะตกประมาณ 7-8 ร้อยบาท
แต่ต้องทำถึง 500 แผ่นขึ้นไป นำเข้ามาเมืองไทยจะมีต้นทุนประมาณ 1,700 บาท
เพราะเจอภาษีประมาณ 40-60% ส่งขายไปยังยี่ปั๊วตกแผ่นละ 2,300 บาท-2,500 บาท
ซึ่งมีประมาณ 22 เพลง ยี่ปั๊วนำไปขายก็ตกประมาณ 3,500-4,500 บาท แล้วแต่ว่าเป็นเพลงฮิตมากน้อยแค่ไหน
ซึ่งเพลงไทยจะแพงกว่าแผ่นเพลงต่างประเทศที่มีราคาประมาณ 2,500-3,000 บาท"
ฉิน เซียะกล่าว
สาเหตุที่แผ่นเพลงไทยแพงกว่าเพลงต่างประเทศก็เพราะเพลงไทยผลิตมาก็เพื่อตอบสนองตลาดเพลงไทยเท่านั้น
ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยจึงสูงกว่า เพราะผลิตต่อครั้งมีจำนวนที่น้อยกว่า เพลงต่างประเทศสามารถผลิตต่ออัลบั้มได้สูงเพราะสามารถจำหน่ายได้กว้างไกลกว่า
เฉลี่ยต้นทุนแล้วจึงต่ำกว่า
ปัจจุบันผู้ผลิตบางรายเช่นแกรมมี่ได้ใช้วิธีลดต้นทุนด้วยการลดจำนวนเพลงลงมา
จากเดิมที่เคยผลิตกันประมาณ 22 เพลงต่อหนึ่งแผ่น มาเหลือ 14 เพลงต่อหนึ่งแผ่น
เพื่อการลดราคาจำหน่ายลงมาเหลือเพียง 3,600-3,700 บาทต่อแผ่น
"ดูจากความต้องการแผ่นเลเซอร์แล้ว หนึ่งเดือนตีเป็นมูลค่าประมาณ 4-5
ร้อยล้านบาท ร้านที่เปิดใหม่ๆ ต้องการแผ่นเป็นจำนวนมาก ซึ่งซื้อกันทีก็หลายๆ
แสนบาท เพราะการลงทุนในแผ่นเพลงประมาณ 5-10% ของการลงทุนในคาราโอเกะทั้งหมด"
ฉินเซียะประเมินมูลค่าตลาดแผ่นเลเซอร์ให้ฟัง
จุดขายที่แปลกใหม่ การลงทุนในฮาร์ดแวร์ที่ถูกลง ซอฟต์แวร์ที่หาได้ง่ายขึ้นและมีให้เลือกมากกว่าเดิม
ปัจจัยเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้การลงทุนในธุรกิจบันเทิงรูปแบบคาราโอเกะเป็นที่นิยมมากขึ้น
อาจงเจ้าของกัมปาย คาราโอเกะ กล่าวว่า คาราโอเกะนั้นนอกจากผู้มาใช้บริการจะรู้สึกสนุกสนานไปด้วย
เพราะได้แสดงออกเองแล้วยังมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการจ้างวงดนตรีซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายอย่างต่ำเดือนละ
40,000-50,000 บาททุกเดือน ในขณะที่การลงทุนในคาราโอเกะจะมากในช่วงแรกในเรื่องของเครื่องเล่น
ระบบเสียงและแผ่น แต่ในระยะยาวแล้วค่าใช้จ่ายจะถูกมาก และยังไม่ต้องมีปัญหาในการบริหารอีกด้วย
เพราะคาราโอเกะคือเครื่องจักรที่ร้องเพลงได้ ไม่มีปัญหาจุกจิกเหมือนมนุษย์
การลงทุนในคาราโอเกะจะมากหรือน้อยจึงขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายในด้านสถานที่มากกว่า
ว่าจะรังสรรค์กันให้เลิศหรูปานใด หากจะแบ่งสัดส่วนของการลงทุนออกเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์
สถานที่รวมทั้งการตกแต่งจะลงทุนอยู่ประมาณ 75% และการลงทุนในอุปกรณ์อีกราว
20% ส่วนที่เหลือ 5% จะเป็นการลงทุนในแผ่นเลเซอร์ดิสก์
"อย่างของผมที่นี่ลงทุนไปไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท ทั้งการตกแต่งทั้งสถานที่และอุปกรณ์"
อาจงเปิดเผยตัวเลขการลงทุนของกัมปาย
หากมีสถานที่อยู่แล้ว เช่นเป็นโรงแรมหรือสถานบันเทิงรูปแบบอื่น แต่ต้องการดัดแปลงหรือเพิ่มคาราโอเกะเข้าไป
ก็ยิ่งมีต้นทุนต่ำมาก เมื่อเทียบกับการเพิ่มจุดขายการบริการที่กำลังฮิตได้
คาราโอเกะที่เคยอยู่เฉพาะแถวถนนธนิยะย่านสีลม จึงขยายตัวออกไปยังแหล่งบันเทิงยามราตรีย่านอื่นๆ
ของกรุงเทพฯ อย่างเช่นแถบสุขุมวิท ถนนรัชดาภิเษก ถนนพระราม 9 เป็นต้น
นริศ เลขะกุล เจ้าของสถานเริงรมย์ชื่อดังย่านสุขุมวิท "ยัวร์เพลซ"
เป็นอีกผู้หนึ่งที่แล้วหันมาเปิดกิจการคาราโอเกะชื่อ "ลีฟวิ่งรูม"
ในซอยสุขุมวิท 33
การเปิดคาราโอเกะในสายตาของนริศนั้น ต้องให้ชัดเจนเสียก่อนว่าจะจับลูกค้าคนไทยหรือต่างชาติ
ถ้าเป็นลูกค้าคนไทย แน่นอนว่าจะไม่สนใจเพลงต่างชาติมากนัก ก็ต้องเตรียมแผ่นเพลงไทยไว้มากๆ
หรือหากเป็นลูกค้าทั้งที่เป็นต่างชาติและเป็นคนไทย ก็ต้องเตรียมเพลงไว้หลากหลายภาษา
"ลีฟวิ่งรูม คาราโอเกะของเรานั้นลงทุนค่อนข้างสูง เพราะถือว่าต้องการให้บริการที่ดีสำหรับลูกค้าหรือแขกที่มาเที่ยว
ลูกค้าที่มาที่นี่ก็ต้องมีกำลังจ่าย เรามีห้องวีไอพี 8 ห้อง และมีห้องโถงใหญ่อีก
1 ห้อง ซึ่งห้องโถงนี้เราต้องเน้นให้แขกเห็นว่านี่คือคาราโอเกะ แขกเข้ามาแล้วเขาจะได้เข้าใจ"
นริศกล่าว
ความจำเป็นที่จะต้องมีห้องวีไอพีของคาราโอเกะนั้น นริศกล่าวว่าเป็นความแตกต่างของการเสพย์ความบันเทิงแบบคาราโอเกะของคนไทยกับต้นฉบับคือชาวญี่ปุ่น
สไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ นั้น จะมีแต่ห้องคาราโอเกะรวม ลูกค้าคนไหนขอเพลงขึ้นมา
ดีเจก็จะเปิดให้ และก็เชิญลูกค้าคนอื่นๆ ขึ้นมาร้อง
"การหมุนเวียนกันร้องจะต้องใจกว้าง บางคนร้องไม่ได้เรื่อง บางคนร้องดีเหมือนกับนักร้องเลย
คนไทยก็ประเภทขี้หมั่นไส้ คนไหนร้องไม่ยอมเลิก เสียงก็แย่ ยังร้องอยู่ได้
ก็อาจจะมีการกระทบกระทั่งกันได้" นริศ เน้นถึงเหตุผลที่ต้องมีห้องคาราโอเกะ
คาราโอเกะคลับ หลายๆ แห่งจึงต้องมีห้องวีไอพีไว้คอยบริการแขก
ห้องวีไอพีจะเดินสายสัญญาณเชื่อมต่อกับห้องควบคุม ซึ่งจะใช้รหัสตัวเลขส่งสัญญาณไปที่ห้องควบคุม
ดีจะก็จะส่งสัญญาณเพลงที่ขอมาให้ร้อง ซึ่งเรียกระบบนี้ว่า "KTV"
ค่าบริการของคาราโอเกะต่อหนึ่งครั้ง สำหรับลูกค้าประมาณ 3-4 คน จะตกอยู่ประมาณ
3,000 บาทขึ้นไป คือจะมีค่าเครื่องดื่ม ซึ่งแต่ละสถานที่จะไม่เหมือนกัน จะมีตั้งแต่ราคา
1,200 บาท ไปจนถึง 4-5 พันบาท นอกจากนั้นจะมีค่าบริการสำหรับห้อง มีการคิดเป็นชั่วโมงบ้างหรือเหมาจ่ายบ้าง
หากคิดเป็นชั่วโมงก็จะมีตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป หรือเหมาจ่ายครั้งละ 500-1,000
บาท นอกจากนี้ยังมีค่าดริ้งพนักงานหญิงที่มาคอยให้ความสำราญขึ้นอยู่กับแต่ละแห่งว่าจะคิดอย่างไร
คือมีตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไปจนถึง 300 บาท
"เท็นสาธร" ซึ่งเป็นสโมสรสำหรับนักธุรกิจและนักบริหารระดับสูงก็มีคาราโอเกะมาให้ความบันเทิงอยู่เช่นเดียวกัน
เท็นสาธร เป็นสโมสรหรือคลับที่ค่อนข้างใหม่สำหรับเมืองไทย เพราะได้นำแบบอย่างมากจากคลับในฮ่องกง
โดยภายในสโมสรแห่งนี้มีความหลากหลายของการบริการไว้สำหรับนักธุรกิจหรือนักบริหารมาใช้บริการ
คือมีทั้งสถานที่ออกกำลังกาย ที่อบเซาว์น่า นวดตัวอบไอน้ำ ภัตตาคารที่จะให้บริการอาหาร
ตลอดจนมีความบันเทิงในหลายๆ รูปแบบ อย่างเช่นไนท์คลับ คาราโอเกะคลับ หรือห้องชมภาพยนตร์
จัดไว้ให้บริการแก่สมาชิก
"เป็นความใฝ่ฝันของผมที่ต้องการมีสโมสรอย่างนี้มาไว้บริการสำหรับนักธุรกิจในบ้านในเมืองเราให้ทันกับต่างชาติ
เพราะวันนี้นักธุรกิจมีปัญหาในเรื่องของการบริหารเวลาเพราะการจราจรที่ติดขัด
ทำให้ต้องเสียเวลาในการเดินทาง ในเวลาเดียวกันเขาต้องบริหารงานประจำและไหนยังต้องมีการพบปะสังสรรค์กันด้วย
จำเป็นต้องมีสถานที่ที่เพียบพร้อมและสามารถทำกิจกรรมต่างๆ สักแห่งหนึ่ง มาไว้บริการภายในที่เดียวกัน
โดยไม่ต้องเดินทางไปมาให้ลำบาก" เปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช ประธานบริหารของเท็นสาธรเล่าให้ฟังถึงจุดประสงค์
เท็นสาธร เป็นอาคารตึก 7 ชั้น ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนหัวถนนสาธรเหนือ จึงถูกสร้างขึ้นมารองรับความคิดดังกล่าว
ด้วยการลงทุนถึง 360 ล้านบาท ได้ออกแบบตกแต่งเป็นสไตล์โมเดล แต่ละชั้นจัดแยกไว้เป็นสัดส่วนสำหรับการบริการที่มีครบครันภายในตึก
ส่วนบริการ "คาราโอเกะ" เป็นความบันเทิงในรูปหนึ่งของเท็นสาธรจัดไว้บริการเป็นแบบห้องวีไอพีทั้งหมดซึ่งอยู่ในชั้นที่
4 และ 5 รวมกัน 13 ห้อง โดยแต่ละห้องจะตกแต่งไว้อย่างหรูหรา สวยงาม
การมาใช้บริการคาราโอเกะที่นี่ จำเป็นต้องเป็นสมาชิกของสโมสรแห่งนี้เท่านั้น
ซึ่งสนนราคาอัตราสมาชิกต่อปีด้วยตัวเลขถึง 6 หลัก เพราะต้องการสกรีนลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการ
อาจจะต้องใช้คำว่า เป็นผู้ที่มีกำลังจ่ายสูงจริงๆ จึงจะมีโอกาสเข้ามาใช้บริการได้
คาราโอเกะของเท็นสาธร มีความทันสมัยแบบเดียวกับที่ฮ่องกง โดยมีห้องควบคุมไว้เป็นส่วนกลาง
เป็นห้องสำหรับดีเจ เพื่อเป็นผู้จัดเพลงให้ตามต้องการ เมื่อสมาชิกในแต่ละห้องขอมาจะให้รหัสเป็นคีย์คอมพิวเตอร์ส่งรายชื่อเพลงเข้ามาได้ครั้งละ
6 เพลง แล้วดีเจจะจัดแผ่นเข้าเครื่องอัตโนมัติ เปิดสัญญาณออกตามห้องต่างๆ
มีเพลงมาให้ร้องได้ประมาณ 18,000 กว่าเพลง มีทั้งไทย ญี่ปุ่น จีน เพลงสากลไว้ให้สมาชิกขอ
ซึ่งมีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติหลากหลายภาษาได้ร้อง
"ที่นี่เรามีเพลงเก่าๆ ไว้บริการเยอะมาก เพราะแขกที่เข้ามาส่วนใหญ่จะมีอายุตั้งแต่
40 ปีขึ้นไปมีอำนาจการจ่ายสูง ซึ่งโดยส่วนตัวผมเองคิดว่าคาราโอเกะในเมืองไทยเพิ่มจะเริ่มบูมมาไม่นานนี้เอง
ยังจะไปได้อีกไกลเพราะเข้าไปให้ความบันเทิงได้ทุกหนทุกแห่ง" เปล่งศักดิ์กล่าว
วันนี้ในญี่ปุ่นการพัฒนาของคาราโอเกะกำลังดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง มี
"คาราโอเกะบล็อก" (มีลักษณะเป็นห้องเล็กๆ สามารถมาใช้บริการร้องเพลงคาราโอเกะ
ด้วยการหยอดเหรียญและมีเครื่องดื่มเบาๆ ไว้คอยบริการ) เกิดขึ้นมามากมายตามศูนย์การค้าตามแหล่งชุมชน
เมืองไทยกำลังมีแนวโน้มว่า "คาราโอเกะบล็อก" กำลังจะเข้ามาบริการคนรักการร้องเพลงคนรักเสียงเพลงตามศูนย์การค้าเช่นเดียวกัน
เนื่องจากขณะนี้มีนักลงทุนคนไทยตระเตรียมการกันไว้แล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยว่าเป็นนักธุรกิจกลุ่มใด
ธุรกิจสถานบันเทิงคาราโอเกะเมืองไทยเพิ่งจะเริ่มต้น และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตต่อไปได้อีก
หากดูจากจำนวนผู้เข้ามาลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นเครื่องวัดได้ทางหนึ่งว่า
ผู้ที่ลงทุนไปแล้วน่าจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง จนเป็นแรงดึงดูดให้คนอื่นๆ
ตามเข้ามา หากยังคงเป็นเช่นนี้อีกต่อไป แน่นอนว่าในอนาคตก็คงจะถึงจุดอิ่มตัว
เฉกเช่นสถานบันเทิงรูปแบบอื่น และเมื่อถึงเวลานั้น คุณภาพจะเป็นตัวคัดเลือกผู้อยู่รอด