Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2536








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2536
"กะเทาะเปลือกค่าจ้าง (ขั้น) ต่ำ: 20 ปีบนความขัดแย้งที่ไม่รู้จบ"             
โดย จิตติมา คุปตานนท์
 

 
Charts & Figures

ตารางแสดงการเปลี่ยนแปลงค่าจ้างขั้นต่ำและดัชนีราคาผู้บริโภค ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งแต่ปี 2516 ถึงปัจจุบัน


   
search resources

Social




การชักคะเย่อระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทุกๆ ปีเสียแล้ว ทำไมต้องเป็นเช่นนั้นทั้งๆ ที่มีคณะกรรมการค่าจ้างมาเป็นเวลานานถึงยี่สิบปีแล้ว

"ได้รับผลกระทบแน่ นักลงทุนหนีไปต่างประเทศหมดแล้ว" นายจ้างต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันทันทีที่ถามว่าการเปลี่ยนแปลงค่าจ้างขั้นต่ำม่ผลกระทบต่อการลงทุนหรือไม่ พร้อมๆ กับการอ้างถึงความได้เปรียบในเรื่องค่าแรงที่ถูกกว่าไทยหลายเท่า ของประเทศเพื่อนบ้านในแถบอินโดจีน ไม่ว่าจะเป็นลาว พม่า หรืออินโดนีเซีย

"ต้นทุนต้องให้ต่ำที่สุดเพื่อจะได้มีกำไรสูงสุด" เป็นปรัชญาสำคัญของการทำธุรกิจ นายจ้างจึงรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ไตรภาคีมีมติให้เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำแม้เป็นเพียงเม็ดเงินแค่ 2-3 บาท (ดูตาราง)

หลักสากลระบุไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงในต้นทุนการผลิตที่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของต้นทุนทั้งหมด จะไม่มีผลกระทบต่อราคาสินค้า และตลอดเวลาที่ผ่านมาแบงก์ชาติได้รายงานว่า สัดส่วนของค่าใช้จ่ายด้านค่าจ้างแรงงานในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ยจะอยู่ในช่วงประมาณร้อยละ 15 ของต้นทุนทั้งหมด

อันเป็นเหตุผลหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำตลอดสองทศวรรษไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนแต่อย่างไร… หรือแรงงานจะเป็นเพียงแพะรับบาป ที่ถูกนายจ้างหยิบมาอ้าง ??

"ผมคิดว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่เพิ่มนี้มีความเป็นธรรม เพราะค่าครองชีพมันสูงขึ้นและนักลงทุนเขาก็ต้องมองในระยะยาว ไม่ได้ดูเฉพาะค่าจ้างเพียงอย่างเดียว ผมไม่คิดว่ามันจะมีผลกระทบต่อการลงทุน" สถาพร กวิตานนท์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แสดงความเห็นต่อการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำครั้งล่าสุด

นักลงทุนหนี… เหตุเพราะค่าจ้างหรือ ?

สถานการณ์การเลิกจ้างแรงงาน การปิดโรงงาน เป็นหลักฐานสำคัญที่ทางฝ่ายนายจ้างนำมาอ้างตอบโต้การเรียกร้องขอเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเสมอ ล่าสุดเป็นการเคลื่อนไหวของสถาบันการจัดการงานบุคคล สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) ที่เปิดเผยข้อมูลการเลิกจ้างแรงงานกว่า 2,500 คน และการปิดกิจการอีกหลายแห่งในเขตจังหวัดปทุมธานีในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2535 โดยอ้างว่าเป็นผลจากค่าจ้างขั้นต่ำที่สูงขึ้นมาโดยตลอด

พฤติกรรมของโรงงานในนวนครหลายแห่งอยู่ในข่ายข้างต้น จึงสามารถใช้เป็นกรณีศึกษาเป็นอย่างดี เช่น การปิดกิจการของบริษัท ทีเอ็มเอ็กซ์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตนาฬิกายี่ห้อ TIMEX เพื่อการส่งออก โดยบริษัทแม่ในอเมริกาอ้างว่าค่าแรงแพงจึงยุบกิจการในไทยแล้วย้ายฐานการผลิตไปที่ฟิลิปปินส์ หรือการขยายการลงทุนของบริษัทแอนเดอรานส์ (ไทย) ผู้ผลิตวิกผม เพื่อการส่งออกทั้งหมดไปที่จังหวัดบุรีรัมย์โดยลดขนาดการผลิตที่นวนครลง ซึ่งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทอ้างสาเหตุค่าแรงถูกเป็นสิ่งจูงใจสำคัญ เป็นต้น

เป็นความจริงที่ค่าแรงของฟิลิปปินส์ถูกกว่าในเมืองไทย หรือค่าแรงในเขตต่างจังหวัดจะถูกกว่าในเขตกรุงเทพฯ แต่สำหรับนักลงทุนที่มีเหตุผลแล้ว ค่าจ้างไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ใช้พิจารณาตัดสินใจลงทุน

ความพร้อมในสาธารณูปโภคพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเลือกทำเลการลงทุนสักแห่ง นอกเหนือจากฝีมือแรงงาน และความมั่นคงทางการเมือง ที่ต้องพิจารณาร่วมกันไป กรณีประเทศกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดีที่ไม่ได้รับการเหลียวแลจากนักลงทุน แม้ค่าแรงจะถูกแสนถูก

การปิดบริษัททีเอ็มเอ็กซ์ในไทยแล้วไปผลิตจากฟิลิปปินส์เพียงแห่งเดียว หากพิจารณาในแง่การลงทุนก็เป็นการกระทำที่มีเหตุผล ไม่เพียงค่าแรงที่ถูกกว่าในไทย แต่การประหยัดต่อขนาด (ECONOMY OF SCALE) ที่เกิดจากการรวมสองกิจการเหลือเพียงหนึ่งกิจการ การบริหารที่ควบคุมได้อย่างทั่วถึงหรือประสิทธิภาพของเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้น ย่อมมีส่วนไม่น้อยในการตัดสินใจ

สำหรับการขยายการลงทุนไปที่บุรีรัมย์ของบริษัทแอนเดอรานซ์ที่ขยายการลงทุนไปที่บุรีรัมย์นอกจากค่าแรงที่ถูกแล้ว บริษัทยังสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการ ไม่ว่าจะเป็นรถบริการรับส่งหรือหอพัก เพราะแรงงานส่วนมากเป็นคนท้องถิ่นและที่สำคัญคือ พฤติกรรมของแรงงานในต่างจังหวัดมีการแข็งข้อน้อยกว่าแรงงานในนวนครอย่างแน่นอน

หากย้อนไปในช่วงเดือนมิถุนายน 2535 หรือชาวนวนครเรียกว่า "มิถุนาทมิฬ" มีการก่อหวอดประท้วงนัดหยุดงานของลูกจ้างในนวนครหลายแห่ง เพื่อเรียกร้องให้นายจ้างปรับปรุงสวัสดิการและค่าจ้าง กล่าวกันว่าเป็นเชื้อที่เริ่มต้นมาจากความสำเร็จในการประท้วงของลูกจ้างบริษัทมินิแบ ที่นายจ้างญี่ปุ่นยอมตามข้อเสนออย่างง่ายดาย ชาวนวนครจึงขอเลียนแบบ

พฤติกรรมการก่อม็อบของแรงงานก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนหนี

"บริษัทแม่ในญี่ปุ่นปฏิเสธการขยายการลงทุนไปแล้วทีหนึ่ง หลังจากเกิดพฤษภาทมิฬ ซึ่งผมก็บอกไปว่าเหตุการณ์สงบแล้ว ให้มาดูได้เลย ทางเขาก็เดินทางมา ปรากฏว่าเจอเหตุการณ์มิถุนาทมิฬพอดี มีแรงงานมาเย้วๆ ทุกวัน เขาจึงไปลงทุนในประเทศอื่น" วีรพัฒน์ เกษสังข์ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลบริษัทไซโก้ซา (ประเทศไทย) และประธานชมรมบริหารงานบุคคลนวนครเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นไม่เฉพาะในเขตนวนครเท่านั้น โรงงานแถวพระประแดง สมุทรปราการก็ปรากฏเป็นข่าวเสมอ ล่าสุดคือการหยุดงานของคนงานอุตสาหกรรมอาภรณ์ไทยมานานกว่า 6 เดือน ที่เรียกร้องให้นายจ้างปรับปรุงสวัสดิการหลายอย่าง ยังไม่เป็นที่ยุติ โดยมีบุญช่วย จันทร์ลบ หัวหน้าสหภาพเป็นผู้นำ

เป็นที่น่าสังเกตว่าการเรียกร้องต่างๆ มักจะเกิดในโรงงานที่มีสหภาพแรงงาน เพราะมีผู้นำ หรือที่นายจ้างเรียกว่า "หัวโจก" เป็นศูนย์กลางนั่นเอง

หากการเพิ่มค่าจ้างมีผลต่อการลงทุนจริงแล้ว ทำไมในช่วงรัฐบาลชาติชายจึงมีนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามามากมาย จนกระทั่งมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงสุดในช่วงปี 2533 ทั้งๆ ที่มีการปรับค่าจ้างเพิ่มถึง 2 ครั้งในปี 2532

นโยบายที่เด่นชัดในเรื่องการส่งเสริมการลงทุน การเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าในแถบอินโดจีน รวมทั้งการใช้มาตรการด้านภาษีเป็นเครื่องจูงใจโดยการลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรเหลือร้อยละ 5 และร้อยละ 0 สำหรับการนำเข้าวัตถุดิบที่ผลิตเพื่อการส่งออก เป็นสิ่งล่อใจนักลงทุนที่ได้ผลดี

อย่างไรก็ตามความมั่นคงทางการเมืองก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการที่นักลงทุนตระหนักเป็นอย่างมาก เพราะรัฐบาลแต่ละชุดก็จะมีนโยบายที่แตกต่างกันไป จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมการลงทุนจึงชลอตัวอย่างมากตั้งแต่ประชาธิปไตยยุคถอยหลังเข้าคลอง จนกระทั่งพฤษภาทมิฬ ซึ่งสอดคล้องกับที่บีโอไอรายงาน

เสถียรภาพของรัฐบาลเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจลงทุน

รัฐบาล 5 ชุดในเวลา 5 ปี จะไม่ให้นักลงทุนถอยได้อย่างไร ???

ดังนั้นหากการเลิกกิจการหรือปลดคนงานออกด้วยสาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างเพียงอย่างเดียว ก็เป็นสิ่งที่น่ายินดีสำหรับประเทศไทยในการโละทิ้งโรงงานที่ไม่มีประสิทธิภาพเหล่านั้นมิใช่หรือ

"การปิดกิจการของโรงงานในแถบสมุทรปราการในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจะเป็นของนักลงทุนชาวไต้หวันที่เข้ามาลงทุนแบบจับเสือมือเปล่าในช่วงรัฐบาลชาติชาย คือเป็นลักษณะ SUB-CONTRACT ให้บริษัทที่ต่างประเทศ เป็นอุตสาหกรรมง่ายๆ ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีอะไร ส่วนใหญ่จะใช้แรงงานเป็นหลัก เช่นขั้นตอนหนึ่งของการทำรองเท้า หรือเครื่องหนัง ค่าจ้างก็ให้ต่ำกว่าขั้นต่ำ" ธรรมรงค์ มุสิกลัด เจ้าหน้าที่ของสภาองค์การลูกจ้างแห่งหนึ่งแถวสมุทรปราการกล่าว พร้อมทั้งย้ำว่า แรงงานที่ทำงานกับพวกบริษัทไต้หวันจะมีปัญหามากที่สุด

และเนื่องจากโรงงานจำนวนไม่น้อยเป็นการผลิตเพื่อส่งออก ย่อมได้รับผลกระทบจากภาวะการชลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอเมริกาที่เป็นตลาดส่งออกรายใหญ่อย่างแน่นอน

เศรษฐกิจที่ตกต่ำของอเมริกา ทำให้บริษัทชื่อดังหลายแห่งต้องปิดกิจการและปลดคนงานเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ไอบีเอ็ม หรือจีเอ็ม รัฐบาลสหรัฐฯ จึงต้องดำเนินการหลายอย่างเพื่อแก้ปัญหาการว่างงาน หรือการขาดดุลการค้าที่สูงขึ้น เช่นการยกเลิก GSP ที่ให้แก่บางประเทศ หรือการใช้มาตรา 301 โต้ตอบประเทศที่มีการเอาเปรียบทางการค้าจากอเมริกา

ญี่ปุ่นเป็นประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ของอเมริกาจึงถูกเล่นงานอย่างหนัก สินค้าจากประเทศญี่ปุ่นถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูง มิต้องพูดถึงสิทธิพิเศษต่างๆ นอกจากนี้ค่าเงินเยนที่ต่ำกว่าความเป็นจริงของญี่ปุ่นก็ถูกหลายประเทศเรียกร้องให้มีการปรับสูงขึ้น เพราะค่าเงินที่ต่ำเกินไปจะทำให้ราคาสินค้าส่งออกมีราคาถูกมากในสายตาของคนต่างประเทศ

นักลงทุนจากญี่ปุ่นจึงต้องไปแสวงหาฐานการลงทุนในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนาที่ยังคงได้รับสิทธิพิเศษจากอเมริกา ซึ่งไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับความสนใจ พิจารณาจากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่มีนักลงทุนจากญี่ปุ่นมากที่สุด รองลงมา คือ ไต้หวัน และอเมริกา

"ในช่วงปีที่แล้วตลาดอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์อยู่ในภาวะซบเซาเพราะมันเป็นวงจรเหมือนสินค้าทั่วๆ ไป ก่อนที่จะมีการพัฒนาที่สูงขึ้นไปอีก" บุคคลในแวดวงคอมพิวเตอร์ชี้แจง จึงไม่ต้องสงสัยว่าสัดส่วนของกิจการที่ผลิตอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์จะมีปัญหาเรื่องออเดอร์ที่ลดลงมากที่สุด

มิซึกิ อิเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) เป็นบริษัทที่เคยมีพนักงานมากที่สุดในนวนคร ทำการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ อุปกรณ์การไฟฟ้าเพื่อการส่งออกทั้งหมด มียอดการปลดพนักงานสูงสุดเช่นกัน คือกว่า 1,000 คนในช่วงปลายปีที่แล้ว ขณะที่ฟูจิสึ (ประเทศไทย) ซึ่งผลิตสินค้าประเภทเดียวกันเพื่อการส่งออกเหมือนกัน กำลังเร่งขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต

ผู้บริหารของมิซึกิอ้างว่าเป็นเพราะค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งความซบเซาของตลาดต่างประเทศเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สินค้าขายสูงประเทศอื่นไม่ได้ แต่ความจริงแล้วมีสาเหตุอื่นที่ทางบริษัทไม่ได้อ้างถึงและดูเหมือนจะเป็นเหตุผลหลักด้วยซ้ำไป
กล่าวคือ มิซึกิเป็นบริษัทที่ทำการผลิตโดยไม่มีแบรนด์เนมเป็นของตัวเอง หรือเป็นบริษัทที่คอยรับจ้างทำการผลิตตามออเดอร์เป็นหลัก กิจการของบริษัทจึงขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจเป็นหลักจึงได้รับผลกระทบอย่างแรงในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ขณะที่ฟูจิสึมีแบรนด์เนมเป็นที่ยอมรับของตลาด จึงได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย
ค่าจ้างขั้นต่ำ ทำไมต้องปรับทุกปี
"หากไม่มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ค่าจ้างประจำปีก็ไม่มีการปรับสิ เพราะค่าจ้างขั้นต่ำที่รัฐบาลกำหนดนี้เป็นค่าจ้างขั้นสูงของโรงงานบางแห่งโดยเฉพาะโรงงานที่ไม่มีสหภาพแรงงาน" บัณฑิต ธนชัยเศรษฐวุฒิ เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงันผู้ศึกษาเรื่องแรงงานมานานกว่า 10 ปี กล่าวถึงสาเหตุที่ลูกจ้างต้องเรียกร้องขอปรับค่าจ้างขั้นต่ำทุกๆ ปี
อุตสาหกรรมในประเทศส่วนใหญ่เป็นกิจการขนาดเล็กที่ไม่มีสหภาพแรงงาน จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจำนวนแรงงานภาคเอกชนที่เป็นสมาชิกสหภาพจึงมีเพียง 180,000 คน คิดเป็นสัดส่วนก็ประมาณร้อยละ 1.5 ของแรงงานภาคเอกชนทั้งหมด และสัดส่วนจำนวนน้อยนนี้เองที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากมีสหภาพแรงงานเป็นผู้ดูแลรักษาผลประโยชน์ให้
ค่าจ้างขั้นต่ำมีความหมายชัดเจนว่า "รายได้ที่เพียงพอสำหรับลูกจ้างไร้ฝีมือหรือที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดงาน 1 คน ให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามปกติวิสัย" ดูจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
จะว่าเป็นความไม่รู้จักพอของลูกจ้าง หรือที่นายจ้างชอบเรียกว่า กินไม่รู้จักอิ่ม ก็คงไม่ผิดนัก เพราะราคาสินค้ามันแพงขึ้นทุกๆ ปี รวมทั้งฐานของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กำหนดเริ่มแรงเพียง 12 บาทก็ต่ำเกินไป
งานวิจัยของ ไตรรงค์ สุวรณคีรี ที่ทำการศึกษาแล้วพบว่าค่าจ้างขั้นต่ำไม่ควรน้อยกว่า 31.96 บาทต่อวัน ในช่วงปี 2518 ผลคือมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 25 บาทต่อวัน ในเดือนมกราคมของปีนั้น
"รัฐบาลคุมราคาของไม่ได้แล้วจะให้พวกผมทำอย่างไร บ้านก็ต้องเช่า ข้าวก็ต้องซื้อ ของก็แพงเอาๆ มันก็ต้องเรียกร้องให้มีการปรับค่าจ้างทุกปี" อาภรณ์ สังขะวัฒนะ หรือที่รู้จักกันดีในนามของ "พี่ใหญ่" กล่าว

อาภรณ์ไม่ปฏิเสธว่าแรงงานในนวนครมากกว่าร้อยละ 80 ได้รับค่าจ้างตามเกณฑ์ และหากปีใดมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะทำให้พวกเขาได้ประโยชน์เพิ่มเติมนอกจากการปรับค่าจ้างประจำปี

นายจ้างส่วนใหญ่จะมีพฤติกรรมคล้ายๆ กัน คือ จะปรับค่าจ้างประจำปีในอัตราที่ต่ำมาก เฉลี่ยประมาณ 4-5 บาทต่อปีเท่านั้น เพราะรู้ว่าจะต้องปรับอีกครั้งภายหลังการปรับค่าจ้างขั้นต่ำและดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมไปแล้ว

จึงมิต้องสงสัยว่าทำไมแรงงานจึงต้องก่อม็อบเรียกร้องเพิ่มค่าจ้างทุกปี

อย่างไรก็ตามบ่อยครั้งที่ค่าจ้างขั้นต่ำปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งหมายความว่า แรงงานไม่ได้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแต่อย่างไร อำนาจซื้อที่เพิ่มน้อยกว่าราคาสินค้า เป็นการซ้ำเติมแรงงานให้มีความเป็นอยู่แย่ลงอย่างร้ายกาจ

รัฐบาล…เจ้าพ่อไตรภาคี

"วันนั้นจริงๆ แล้วไม่มีการโหวตกันด้วยซ้ำ รัฐบาลบอกให้ออมชอมกัน ซึ่งก็รู้กันมาตั้งนานแล้วว่าต้อง 125 บาท เพราะกรรมการบางท่านได้ปล่อยข่าวออกมาก่อนหน้านั้นแล้ว และหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ควรเปลี่ยนชื่อกรรมการเป็นเอกภาคีจะเหมาะสมกว่า" ทิวา ธเรศวร หนึ่งในคณะกรรมการค่าจ้างชุดปัจจุบันในฐานะตัวแทนฝ่ายนายจ้างเล่าถึงบรรยากาศในที่ประชุมไตรภาคี ในการประชุมเพื่อกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับคณะกรรมการท่านอื่นไม่ว่าจะเป็น พิชัย ซื่อมั่น หรือ บรรจง บุญรัตน์ ในฐานะตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง

เป็นนัยยะที่อธิบายได้ดีตามข้อสังเกตที่พบว่า ทุกครั้งที่มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะไม่มีฝ่ายใดพอใจเลย ไม่ว่าจะเป็นนายจ้างหรือลูกจ้าง ทั้งๆ ที่โดยหลักการแล้วมันต้องเป็นผลผลิตร่วมจากตัวแทนทั้ง 3 ฝ่าย หรือที่รู้จักกันดีในนามของ "ไตรภาคี"

หลักการของไตรภาคีเป็นสิ่งดีที่ให้ตัวแทนของทุกๆ ฝ่ายมาเจรจากัน ภายใต้ความเป็นกลางของรัฐบาล โดยใช้มติ 2 ใน 3 ของที่ประชุมเป็นเกณฑ์ ในบางปีจึงมีข่าวการซื้อเสียงของฝ่ายนายจ้าง โดยเฉพาะในปีที่ไม่มีการปรับค่าจ้างหรือมีการปรับเพียงเล็กน้อย

ชิน ทับพลี ประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาลูกจ้างแห่งชาติเป็นผู้นำแรงงานที่มีบทบาทโดดเด่นมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา นับแต่เป็นประธานจัดคอนเสริต์ต้านภัยแล้งเพื่อดึงดูดความสนใจจากประชาชนที่ไปชุมนุมกันที่สนามหลวงในช่วงพฤษภาทมิฬ หรือเป็นผู้เสนอให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำแบบสุดโต่ง คือ 145 บาท ด้วยเหตุผลที่ว่าเท่ากับเงินเดือนขั้นต่ำของพนักงานรัฐวิสาหกิจ

"ผมรู้จักนักลงทุนชาวไต้หวันเป็นอย่างดีโดยเฉพาะแถวปากน้ำ…145 บาท เขาก็ไม่ว่าอะไร แต่ที่เขาบ่นมากก็เรื่องสาธารณูปโภคต่างๆ ที่มันมีไม่พอ เช่นน้ำประปา หรือการจราจรที่ติดขัด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่เขาจะหนีมากกว่า" ชินกล่าว พร้อมทั้งแสดงความเห็นต่อคณะกรรมการค่าจ้างชุดปัจจุบันว่า "ระบบไตรภาคีปัจจุบันห่วยที่สุด เพราะตัวแทนฝ่ายลูกจ้างถูกครอบงำง่าย และคณะกรรมการฝ่ายลูกจ้างก็ไม่ได้ทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนอย่างแท้จริง แม้จะมาจากการเลือกตั้งก็ตาม"

อาจเป็นเพราะไม่มีสมาชิกของสภาลูกจ้างแห่งชาติ ได้รับเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการไตรภาคีในชุดปัจจุบันเลยก็ได้ที่ทำให้ชินมีความเห็นเช่นนี้??

จะว่าไปแล้วก็หนีไม่พ้นเรื่องการเมือง เพราะตัวแทนฝ่ายรัฐบาลส่วนมากจะมาจากข้าราชการประจำโดยเฉพาะประธานค่าจ้างจะเป็นของรองปลัดกระทรวงมหาดไทยโดยตำแหน่ง ระบบนายว่าอย่างไรแล้วลูกน้องต้องว่าตาม ไม่ได้ถูกห้ามใช้ในระบบไตรภาคีแต่อย่างไร?

ดูเหมือนว่าการครอบงำของรัฐบาลจะเริ่มตั้งแต่คณะกรรมการชุดที่ 1 ที่พบว่าไตรภาคีจะมีตัวแทนจากรัฐบาลถึง 7 คน คณะที่มีตัวแทนจากฝ่ายลูกจ้างและนายจ้างเพียงฝ่ายละ 1 คนเท่านั้น ค่าจ้างขั้นต่ำเริ่มแรกเพียง 12 บาทต่อวัน สอดคล้องกับนโยบายดึงดูดนักลงทุนด้วยค่าจ้างต่ำเป็นอย่างดี

แรงกดดันทางการเมืองและอำนาจการต่อรองของแต่ละฝ่ายจะเป็นตัวตัดสินว่าจ้างขั้นต่ำควรเป็นเท่าไร ขณะที่หลักทางวิชาการไม่ว่าจะเป็นดัชนีราคาผู้บริโภค การขยายตัวทางเศรษฐกิจ จะเป็นเพียงประเด็นหลักที่ถูกนำมาอ้างให้มีการปรับค่าจ้างในฐานะผู้แทนฝ่ายนายจ้างถึงสามสมัย (2528-2534) เคยกล่าวภายหลังที่ประชุมมีมติให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำจาก 73 บาทเป็น 76 บาทในช่วงรัฐบาลชาติชาย ในทำนองว่า รัฐบาลกลัวม็อบขณะที่ตนไม่กลัว แต่ด้วยการขอร้องจากผู้ใหญ่ฝ่ายรัฐบาลที่พูดไปแล้วว่าจะมีการปรับค่าจ้าง ซึ่งหากตนมีทีท่าแข็งกร้าวเกินไปก็อาจมีปัญหา จึงยอมให้มีการปรับค่าจ้างเพิ่ม 3 บาท

ขณะที่บรรจง บุญรัตน์ หนึ่งในคณะกรรมการค่าจ้างชุดปัจจุบันของตัวแทนฝ่ายลูกจ้างบอกว่า "ในที่ประชุมทางฝ่ายนายจ้างค่อนข้างจะมีอารมณ์เพราะไม่พอใจในตัวเลขที่ทางฝ่ายรัฐบาลเสนอเข้าข้างลูกจ้างมากเกินไป"

จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจรัฐบาลเพราะไม่ว่านายจ้างหรือลูกจ้างก็ต้องการผลประโยชน์สูงสุดแต่ระยะเวลามันจำกดั รัฐบาลจึงจำเป็นต้องแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพของตนเอง และบ่อยครั้งที่รัฐบาลใช้วิธีประนีประนอมโดยให้พบกันคนละครึ่งทางระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีในระยะสั้น แต่หากทำเช่นนี้เรื่อยๆ ไป ระบบไตรภาคีก็จะไม่มีการพัฒนาแต่อย่างไร

"กรรมการฝ่ายรัฐบาลควรเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลาง เพื่อมีอิสระในความคิด ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และอย่าดูเพียงเม็ดเงิน ควรดูสวัสดิการที่เราให้เขาด้วย เพราะเมื่อค่าจ้างขึ้นราคาสินค้าก็เพิ่ม รัฐบาลไม่มีฝีมือในการควบคุมราคา ไม่ใช่เพราะนายจ้าง" ทิวา ธเนศวรให้ข้อเสนอวิธีการยกเครื่องไตรภาคี

ประสบการณ์การเป็นผู้ว่าราชการที่รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเคยดำรงมานาน 15-30 ปี มันต่างจากหลักการของไตรภาคีอย่างสิ้นเชิง บทบาทของการเป็นผู้นำมากว่าค่อนชีวิต แล้วจู่ๆ จะให้มาใช้การประนีประนอม ไม่เป็นการเหมาะสมอย่างแน่นอน

"ควรแก้ที่ตัวประธานก่อน" สังศิต พิริยะรังสรรค์ อาจารย์หนุ่มจากรั้วจามจุรีที่มีบทบาทค่อนข้างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จากรายงานการวิจัยเรื่องการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ทางฝ่ายลูกจ้างนำไปใช้อ้างอิง กล่าวได้ตรงประเด็นที่สุดในการยกเครื่องไตรภาคี

กฎหมายที่ปัจจุบันกำหนดบทบาทคณะกรรมการเพียงรับเรื่องร้องทุกข์เมื่อมีคนมาเรียกร้องแล้วนำมาให้รัฐบาลทราบ ก็เป็นสิ่งที่ควรแก้ไข เพื่อขยายบทบาทหน้าที่ของกรรมการให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ มีที่ทำงานเป็นหลักแหล่งเหมาะสมกับงานระดับชาติที่ต้องศึกษากันอย่างจริงจังและทำทั้งปีไม่ใช่ทำเพียง 2-3 เดือนภายหลังมีการเรียกร้องหรือจะประชุมทีก็ต้องโทรนัดกันตามที่ต่างๆ เหมือนในปัจจุบัน

"การปรับค่าจ้างขั้นต่ำทุกปีบ้า ไม่ถูกต้องควรทำเหมือนต่างประเทศที่กำหนดไปเลยว่าจะปรับตามสิ่งใด" โสภณ วิจิตรกร ประธานบริษัทนครหลวงเส้นใยสังเคราะห์เป็นนายจ้างคนหนึ่งที่กล้าแสดงความเห็น

ส่วนฝ่ายแรงงานดูเหมือนจะชอบวิธีการเรียกร้องมากกว่า อาจเป็นเพราะธรรมชาติมีนิสัยชอบความเสี่ยงมากกว่านายจ้าง ดังที่ "พี่ใหญ่" ของแรงงานในนวนครกล่าว ว่า "มันมีโอกาสที่จะได้เงินเพิ่มมากกว่าการกำหนดเป็นเกณฑ์ที่ตายตัว"

เกณฑ์การปรับค่าจ้างขั้นต่ำก็ควรมีการกำหนดให้แน่ชัดไปเลยว่าจะใช้เกณฑ์อะไร เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกๆ ฝ่าย โดยเฉพาะนักลงทุนที่สามารถคาดการณ์ต้นทุนได้อย่างถูกต้อง ไม่ต้องตึงเครียดกับแรงกดดันที่เกิดขึ้นทุกปี ขณะที่ลูกจ้างก็ทราบถึงรายได้ที่แน่นอนและเป็นธรรมตามอายุงานเหมือนราชการ ไม่ใช่ว่าทำงานมาเป็นสิบปีก็ได้ค่าจ้างเท่ากับลูกจ้างเข้างานใหม่ หรือค่าจ้างขั้นต่ำก็คือค่าจ้างขั้นสูงของโรงงานบางแห่ง

ระบบค่าจ้างแบบลอยตัวเหมือนต่างประเทศก็เป็นอีกวิธีที่ฝ่ายนายจ้างเสนอ

การปล่อยให้ค่าจ้างลอยตัวดูเหมือนจะเป็นวิธีการที่ดี โดยเฉพาะในทางเศรษฐศาสตร์ซึ่งมีความเชื่อมั่นในกลไกตลาดมากว่า จะนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ค่าตัววิศวกรที่สูงมากเนื่องจากการขาดแคลนในช่วง 3-4 ปีก่อน กับจำนวนบัณฑิตในสาขาวิศวะที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันสามารถอธิบายได้เป็นอย่างดี

แต่ระบบดังกล่าวไม่เหมาะสำหรับค่าจ้างขั้นต่ำที่เป็นเรื่องของแรงงานไร้ฝีมือ เพราะมันหมายถึงหลักประกันที่รัฐบาลให้กับแรงงานว่าเป็นรายได้ต่ำสุดที่เขาจะได้รับเพียงพอแก่การยังชีพ

หากปล่อยให้ลอยตัว ภายใต้สังคมที่มีแรงงานไร้ฝีมืออยู่จำนวนมาก ขณะที่นายจ้างมีสัดส่วนที่น้อย ซึ่งง่ายแก่การรวมตัว แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าแรงงานจะได้รับค่าจ้างตามกลไกตลาด

อย่างไรก็ตามหากกฎหมายเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำยังไม่สามารถบังคับให้นายจ้างปฏิบัติตามได้อย่างทั่วถึงแล้ว ก็ป่วยการที่จะเถียงกันในเรื่องหลักการต่างๆ เพราะไม่ได้ช่วยทำให้แรงงานไร้ฝีมืออันเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของนิยาม "ค่าจ้างขั้นต่ำ" มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้อย่างไร

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us