|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"แคนนอน" รับลูกแคมเปญรีจินอล "บิสซิเนส แคน บี ซิมเปิล" ต่อ 3 ปี ที่ชูจุดเด่น "ผลิตภัณฑ์+บริการหลังการขาย+ซอฟต์แวร์" สร้างตลาด พร้อมเดินเครื่อง "ดีอาร์เอ็ม" แปรสภาพดีลเลอร์สู่พาร์ตเนอร์ด้วยบริการหลังการขายเหมือนบริการจากแคนนอนโดยตรง ตั้งเป้าผู้เล่นเบอร์สองตลาดเครื่องถ่ายเอกสารสีปีหน้า
ตลาดเครื่องถ่ายเอกสารในประเทศไทย นับเป็นอีกตลาดหนึ่งที่ยังมีความต้องการใช้งานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าไม่ได้มีอัตราการเติบโตสูงเหมือนในอดีต โดยมีการประเมินความต้องการใช้เครื่องถ่ายเอกสารในประเทศไทยปี 2549 นี้อยู่ประมาณ 2,000 เครื่อง มีมูลค่าตลาดโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท
โดยมีแบรนด์สินค้าที่เด่นๆ ในตลาดอยู่ประมาณ 3-4 แบรนด์เท่านั้น "แคนนอน" นับเป็นแบรนด์หนึ่งที่ทุ่มเทกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องในเครื่องถ่ายเอกสารขาว-ดำ แต่สำหรับตลาดเครื่องถ่ายเอกสารที่เป็นสีแล้ว แคนนอนยอมรับว่า ตัวเองยังเป็นน้องใหม่ในตลาดที่มีผลิตภัณฑ์เจาะตลาดมาได้ประมาณ 1 ปีเท่านั้น
สุนทร ปัณฑรมงคล ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไป ส่วนงานบิสซิเนส อิมเมจ โซลูชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตตั้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ที่รับผิดชอบการทำตลาดเครื่องถ่ายเอกสารภายใต้แบรนด์ แคนนอน ได้กล่าวถึงทิศทางการทำตลาดในตลาดเครื่องถ่ายเอกสารสีว่า กลยุทธ์การทำตลาดของแคนนอนในส่วนของธุรกิจเครื่องถ่ายเอกสารดิจิตอลสีนั้น จะยังคงยึดแคมเปญ "บิสซิเนส แคน บี ซิมเปิล" ซึ่งเป็นแคมเปญที่ใช้ร่วมกันทั่วภูมิภาคนี้ต่อไปอีกเป็นเวลา 3 ปีเพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มองค์กร
แคมเปญดังกล่าวเป็นการผสมผสานจุดเด่นในเรื่องของผลิตภัณฑ์ บริการหลังการขายและซอฟต์แวร์ทางด้านเอกสาร ซึ่งถือเป็นโซลูชั่นที่จัดทำขึ้นมาเพื่อให้การดำเนินธุรกิจของลูกค้าดำเนินไปได้ง่ายขึ้น
"เวลานี้ แคนนอนมีศูนย์บริการหลังการขายที่เป็นสาขาของแคนนอนและตัวแทนจำหน่ายอยู่ 30 สาขาทั่วประเทศ เรื่องของผลิตภัณฑ์ที่แคนนอนมีแผนจะเปิดตัวออกมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด แคนนอนก็ได้เปิดตัวเครื่องถ่ายเอกสารมัลติฟังก์ชั่นสีในกลุ่มอิมเมจ รันเนอร์พร้อมกัน 4 รุ่น ที่ตอบสนองผู้ใช้ทุกกลุ่มในตลาด และเรื่องของซอฟต์แวร์ แคนนอนได้พัฒนาซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า "อิมเมจแวร์" ขึ้นมา ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการจัดการเอกสารที่อัจฉริยะซึ่งเชื่อมต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสำนักงาน"
สุนทร กล่าวถึงแนวโน้มทางด้านเทคโนโลยีของเครื่องถ่ายเอกสารให้ฟังว่า เครื่องถ่ายเอกสารมัลติฟังก์ชั่นสี จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในธุรกิจ แนวโน้มการขยายตัวจึงมีสูง เนื่องจากเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว อีกทั้งยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยระบบ ไอดี แมเนจเมนต์ อีกทั้งแนวโน้มของเอกสารทางธุรกิจยุคใหม่จะเป็น "สี" มากขึ้น เพื่อสร้างความทันสมัย โดดเด่น น่าสนใจและสื่อสารได้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
"ปีหน้า แคนนอนจะยังเน้นกิจกรรมการตลาดของเครื่องถ่ายเอกสารมัลติฟังก์ชั่นสีต่อ ซึ่งแนวโน้มการใช้งานทางด้านสีในเครื่องถ่ายเอกสารเติบโตเป็นที่ยอมรับของตลาดมากขึ้น เห็นได้จากในประเทศสิงคโปร์ 30-40% ของผู้ใช้งานเครื่องถ่ายเอกสารได้ปรับมาใช้เครื่องถ่ายเอกสารสีกันแล้ว ซึ่งในประเทศไทยเชื่อว่า แนวโน้มก็จะเป็นไปตามกระแสดังกล่าวด้วยเช่นกัน แคนนอนจึงได้ดำเนินกลยุทธ์รุกตลาดอย่างต่อเนื่องด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มลูกค้าองค์กร และลูกค้าผู้บริโภคทั่วไป ให้สามารถเลือกได้ตรงตามความต้องการอย่างแท้จริง"
จากกลยุทธ์ดังกล่าว แคนนอนจึงมีการเปิดตัวเครื่องถ่ายเอกสารมัลติฟังก์ชั่นสีในกลุ่มอิมเมจ รันเนอร์ 4 รุ่นประกอบด้วย ไออาร์ซี5180ไอ ไออาร์ซี4180ไอ ไออาร์ซี3380ไอ และไออาร์ซี2880ไอ พร้อมด้วยเครื่องพิมพ์ดิจิตอลสีสำหรับงานปรู๊ฟสี "อิมเมจเพรส" ซี1 และเครื่องพิมพ์ดิจิตอลขาวดำสำหรับงานโปรดักชั่น ไออาร์7105 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนรุกตลาดตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องจนถึงปีหน้า อีกทั้งจะเป็นการช่วยขยายฐานลูกค้าไปสู่องค์กรและธุรกิจขนาดกลางและเล็กอย่างจริงจัง นอกเหนือจากกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งมานาน
"แคนนอนจะผลักดันซับแบรนด์ "อิมเมจเพรส" สำหรับเจาะตลาดงานโปรดักชั่นเพิ่มขึ้นอีกตลาดธุรกิจการพิมพ์และผลิตสิ่งพิมพ์แบบพรินต์ออนดีมานด์ ซึ่งเป็นบริการงานพิมพ์ด่วนที่มีความต้องการงานในลักษณะพิมพ์เอกสาร โบรชัวร์และงานพิมพ์เร่งด่วนในจำนวนไม่มากนัก ซึ่งโรงพิมพ์ออฟเซตทั่วไปไม่สามารถทำได้"
สุนทรยังกล่าวถึงเป้าหมายทางการตลาดว่า บริษัทตั้งเป้าเพิ่มยอดขายเครื่องถ่ายเอกสารมัลติฟังก์ชันสี ทั้งในแง่รายได้และส่วนแบ่งการตลาดในปีหน้าเพิ่มจาก 16% เป็น 20% หรือประมาณ 400 เครื่อง จากยอดขายโดยรวมในตลาดประมาณ 2,200 เครื่อง เป็นอันดับสองในตลาด โดยฟูจิ ซีร็อกซ์มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่ง
"ช่วงกลางปีที่ผ่านมา แคนนอนได้เปิดตัวเครื่องถ่ายเอกสารที่เป็นขาว-ดำ แต่สามารถพิมพ์สีได้ออกมาแล้ว ซึ่งถือเป็นการปูพรมและสร้างความคุ้นเคยต่อตลาดเพื่อขยายไปสู่ตลาดสีในอนาคต"
สำหรับกลยุทธ์ในการเข้าถึงตลาดนั้น สุนทร์ บอกว่า จะเพิ่มศักยภาพช่องทางจัดจำหน่ายด้วยโปรแกรมที่เรียกว่า ดีลเลอร์ รีเลชั่นชิป แมเนจเมนต์ หรือดีอาร์เอ็ม ในลักษณะสร้างแรงจูงใจในการทำตลาดให้กับแบรนด์แคนนอน โดยที่แคนนอนจะสร้างความรู้สึกถึงการเป็นพาร์ตเนอร์ชิปมากกว่าดีลเลอร์ทั่วไป ซึ่งวันนี้ แคนนอนมีพาร์ตเนอร์ที่ช่วยทำตลาดอยู่ทั่วประเทศ 30 รายให้มีศักยภาพในการให้บริการและสร้างความน่าเชื่อถือในการให้บริการหลังการขายของพาร์ตเนอร์ต่อผู้บริโภคให้เทียบเท่ากับบริการหลังการขายที่ได้รับจากทางแคนนอนโดยตรง
"พาร์ตเนอร์ในต่างจังหวัด แรกๆ คงจะเน้นทำตลาดเครื่องถ่ายเอกสารขาว-ดำไปก่อน เพื่อให้เกิดการยอมรับในเรื่องของบริการหลังการขายเทียบเท่ากับได้รับบริการจากแคนนอนก่อน รวมถึงตลาดต่างจังหวัดเองก็ยังไม่พร้อมที่จะตอบรับเครื่องถ่ายเอกสารมัลติฟังก์ชั่นที่เป็นสี ส่วนไดเรกต์เซลของแคนนอนจะดูแลลูกค้าในเขตกรุงเทพฯ เป็นหลัก และเน้นการทำตลาดเครื่องถ่ายเอกสารมัลติฟังก์ชั่นที่เป็นสี เพราะตลาดกรุงเทพฯ มีความต้องการเครื่องถ่ายเอกสารสีง่ายกว่า และเห็นความจำเป็นของงานเอกสารสีที่เร็วกว่า"
เนื่องจากลูกค้าในกลุ่มองค์กรเริ่มให้ความสำคัญและหันมาใช้เครื่องถ่ายเอกสารแบบมัลติฟังชั่นสีมากขึ้น อีกทั้งแคนนอนก็พยายามผลักดันเครื่องถ่ายเอกสารที่เป็นขาว-ดำ แต่สามารถพิมพ์สีได้ด้วย ถือเป็นการปูพรมเพื่อขยายตลาดในอนาคต ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังมีแผนเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายมากขึ้นจากเดิมที่มีอยู่แล้ว 30 ราย ไปพร้อมกับขยายทีมขายตรงในกลุ่มเครื่องพิมพ์สีเพื่อดูแลลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพฯ
"กลุ่มธุรกิจบีไอเอสสร้างรายได้ให้กับแคนนอน ไทยแลนด์ 30% หรือประมาณ 1 พันล้านบาทของรายได้รวมทั้งหมด ปีนี้มีอัตราการเติบโต 2 เท่าตัวจากปีก่อน ส่วนปีหน้าคาดว่าจะสามารถทำยอดขายและรายได้เพิ่ม 20%"
|
|
|
|
|