โครงการรถไฟฟ้าพาโชค หลังรัฐบาลอนุมัติก่อสร้าง 5 เส้นทาง ศุภาลัย ,แอลพีเอ็น ,แลนด์แอนด์เฮ้าส์ รับอานิสงค์ แจ๊กพอดแตกที่ “ศุภาลัย” ดวงดี ทำเลเด่น อยู่ในโซน 6 โครงการมูลค่า 11,000 ล้าน ขณะที่ ปริญสิริ และ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ก็ได้ผลบุญร่วม
จากการที่รัฐบาลได้อนุมัติก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า 5 สาย คือสายสีแดง(รังสิต-บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ระยะทาง 41 ก.ม.,สายสีน้ำเงิน(บางซื่อ-ท่าพระ-บางแค และหัวลำโพง-ท่าพระ) ระยะทาง 27 กม., สายสีม่วง(บางใหญ่-บางซื่อ) ระยะทาง 23 กม., สายสีเขียว(หมอชิต-สะพานใหม่) ระยะทาง 13 กม และ สายสีเขียว(แบริ่ง-สมุทรปราการ) ระยะทาง 14 กม.คาดว่าจะเริ่มสร้างสายสีแดง และสีม่วง ก่อนในช่วงเดือนมีนาคม 2550 เนื่องจากมีความพร้อมมากที่สุด
โครงการรถไฟฟ้าทั้ง 5 สายนี้ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่มีโครงการอยู่ในเส้นทางดังกล่าวได้รับผลดีตามไปด้วย จากการประเมินพบว่าบริษัทที่ได้ประโยชน์มากที่สุด 3 อันดับแรกคือ บมจ. ศุภาลัย (SPALI),บมจ. แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH)และ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ (LPN) เพราะผู้ประกอบการเหล่านี้มีโครงการที่มีศักยภาพสามารถรองรับอุปสงค์ที่จะเติบโตจากประชากรซึ่งจะย้ายเข้ามาอาศัยตามการคมนาคมที่สะดวกขึ้นจากรถไฟฟ้าในอนาคตได้ดี
ทั้งนี้ ศุภาลัย จะได้รับประโยชน์จากโครงการรถไฟฟ้ามากที่สุด เพราะปัจจุบันมีโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ทั้งที่เปิดขายไปแล้ว และใกล้จะเปิดขายอยู่ในช่วงที่รถไฟฟ้าวิ่งผ่านทุกเส้น รวมมูลค่ากว่า 11,000 ล้านบาทโดยในสายสีเขียวจะมี โครงการคอนโดมิเนียม ศุภาลัยปาร์ควิลล์ มูลค่า 2,900 ล้านบาท, สายสีเขียวอ่อนมีโครงการทาวน์เฮ้าส์ ศุภาลัย วิลล์ศรีนครินทร์-สุขุมวิท 107 มูลค่า 1,205 ล้านบาท ซึ่งเพิ่งเปิดขายเมื่อวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา, เส้นสายสีน้ำเงินมีโครงการบ้านเดี่ยวศุภาลัย ออร์คิด ปาร์ค 1 และ2 มูลค่า 3,475 ล้านบาท, เส้นรถไฟฟ้าสายสีม่วงมีโครงการบ้านเดี่ยวศุภาลัย วิลล์ บางใหญ่ มูลค่า 1,189 ล้านบาท, เส้นสายสีแดงมีโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ศุภาลัย บุรี มูลค่า 1,769ล้านบาท และเส้นสายสีเขียวเข้มมีโครงการบ้านเดี่ยว ศุภาลัยปาร์ควิลล์ มูลค่า 650ล้านบาท
รองลงมาเป็นโครงการของ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ที่มีอยู่ 4 แห่งมูลค่าเกือบ 8,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีอัตรายอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว คือโครงการบ้านเดี่ยวพฤกษ์ลดา รังสิตคลอง 4 มูลค่า2,527 ล้านบาท ที่อยู่ในเส้นรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม โครงการบ้านเดี่ยว นันทวัน สาธร-ราชพฤกษ์ มูลค่า 3,357 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยวมัณฑนาบางแคมูลค่า 536 ล้านบาทและโครงการบ้านเดี่ยว ชัยพฤกษ์ เพชรเกษม 81 มูลค่า 1,543 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในเส้นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน มูลค่าโครงการรวม 7,963 ล้านบาท
ส่วน แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ ก็มีโครงการคอนโดมิเนียม 2 แห่ง คือ โครงการ ลุมพินี ปิ่นเกล้า 3 มูลค่า 1,600 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในเส้นสายสีเขียวอ่อน และ โครงการ ลุมพินีพาเลซ รัชดา ท่าพระ มูลค่า 1,600 ล้านบาทอยู่ในเส้นสายสีเขียวเข้ม
ขณะที่ บมจ.ปริญสิริ (PRIN)ก็มีโครงการบ้านเดี่ยว ปริญญาดา วงแหวนสาทร มูลค่า 1,042 ล้านบาท ที่อยู่ในเส้นสายสีน้ำเงิน
นอกจากนี้ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค( PF) ก็มีโครงการอยู่ในเส้นรถไฟฟ้าสายสีม่วง แดงและเขียวเข้ม ส่วนใหญ่เป็นโครงการเก่ามีมูลค่าสูง แต่เปิดขายเมื่อหลายปีก่อน คือ โครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ มณียา มาสเตอร์พีซ-รัตนาธิเบศร์ มูลค่า 1,785 ล้านบาท ,โครงการบ้านเดี่ยวมณีรินทร์ พาร์ค รัตนาธิเบศร์มูลค่า 818 ล้านบาท, โครงการบ้านเดี่ยวเพอร์เฟคเพลสรัตนาธิเบศร์-ราชพฤกษ์ มูลค่า 4,538 ล้านบาท, โครงการบ้านเพอร์เฟค เพลส รัตนาธิเบศร์ มูลค่า 568 ล้านบาท ,โครงการบ้านเดี่ยวเพอร์เฟค พาร์ค รัตนาธิเบศร์-ราชพฤกษ์ มูลค่า 1,837 ล้านบาท ,โครงการบ้านเดี่ยวมณีรินทร์ พาร์ค รังสิต มูลค่า 279 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียมเมโทร พาร์ค เฟส1 และ 2 มูลค่า 3,000 ล้านบาท ทว่าโครงการดังกล่าวเป็นโครงการเดิมที่เหลือค้างมา ทำให้บริษัทต้องจัดการส่งเสริมการขาย ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายในระดับสูง
จากบทวิเคราะห์ของ บล.เอเซีย พลัส ระบุให้ซื้อ SPALI และ PRIN โดยมีราคาเป้าหมายที่ 4.35 บาทและ 4.89 บาท ส่วน LH และ PF แนะนำให้ขายเนื่องจากราคาเป้าหมายเกินมูลค่าที่เหมาะสมที่ 6.04 บาทและ 3.01 บาทไปมาก ขณะที่ถือ LPN เนื่องจากราคาปัจจุบันได้เต็มมูลค่าที่ 4.59 บาทแล้ว
|