Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน17 พฤศจิกายน 2549
ทุนฮ่องกงทุ่ม9,000ล้านลุยอสังหาฯไทยเต็มสูบ             
 


   
search resources

Real Estate




ทุนฮ่องกง "เอชเคอาร์ไอ" เจ้าของโรงแรมสุโขทัย เล็งผุดคอนโดมิเนียมสุดหรู เคาะราคาเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 35 ล้านบาท/ยูนิต พร้อมพ่วงบริการแบบโรงแรม มูลค่าการลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท ระบุภายใน 3 ปีข้างหน้าลงทุนเพิ่มภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา ระยอง พัฒนา โรงแรม รีสอร์ท สนามกอล์ฟ คาดใช้เงินลงทุนไม่น้อยกว่า 9,000 ล้านบาท

นายเพสัน ชา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอชเคอาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด (HKR International Limited) เดิมกลุ่มผู้บริหารโรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ เปิดเผยว่า หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจโรงแรมสุโขทัย จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ล่าสุดบริษัทได้ขยายการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ในชื่อ "เดอะ สุโขทัย เรสซิเด้นท์เซส” ย่านถนนสาทรอยู่บริเวณด้านหลังโรงแรมสุโขทัย

พัฒนาภายใต้บริษัท เกรซ ไอเวอรี่ จำกัด ( Grace Ivory Ltd.,) บนเนื้อที่ 7 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมจำนวน 197 ยูนิต มีขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ 82-900 ตารางเมตร เจาะกลุ่มตลาดไฮเอ็นด์ที่มีราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรมากกว่า 1.2 แสนบาทขึ้นไป โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะมีราคาขายไม่ต่ำกว่า 35 ล้านบาท/ยูนิต โดยคาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งการพัฒนาจะเป็นการผสมผสานระหว่างคอนโดมิเนียมและโรงแรมเข้าด้วยกัน ส่วนการออกแบบจะเน้นความเป็นไทยให้มากที่สุด

อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการออกแบบและการวิเคราะห์ต้นทุน จึงไม่สามารถบอกรายละเอียดในเรื่องของราคาขายได้ในขณะนี้ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดขายได้ในต้นปี 2550 สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้นจะเป็นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่ทำงานในเมืองไทย กลุ่มนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ รวมถึงกลุ่มลูกค้าของโรงแรม โดยเน้นลูกค้าชาวต่างชาติกว่า 50%

"ทีมบริหารคอนโดฯ และผู้ให้บริการจะเป็นทีมเดียวกับโรงแรมสุโขทัย เพราะเราต้องการให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด ซึ่งขณะนี้มีลูกค้าประจำของโรงแรมหลายรายแสดงความสนใจที่จะซื้อแล้ว เพราะเห็นว่าเป็นโปรเจ็กต์ที่น่าสนใจอย่างมาก” นายเพสัน กล่าว

นายเพสันกล่าวว่า ประเทศไทยยังเป็นเมืองที่น่าลงทุนอย่างมาก แม้ว่าระยะเวลาที่ผ่านมาจะเกิดปัจจัยด้านลบโดยเฉพาะการเมืองที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์และบรรยากาศการลงทุนไปบ้าง แต่ทุกอย่างได้เริ่มคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น ซึ่งโดยส่วนตัวตนมีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในเมืองไทยและรัฐบาลไทย เมื่อเปรียบเทียบกับหลายๆประเทศที่มีการเมืองที่รุนแรงกว่ามาก นอกจากนี้ยังมองว่าการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ ในไทยจะมีผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 15-20 % ต่อโครงการ

"เมื่อ 15 ปีก่อนมีกลุ่มเพื่อนที่เป็นนักลงทุนชาวต่างชาติบอกว่า อย่ามาลงทุนในไทยเลย แต่ผมก็มีความเชื่อมั่น และคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจมาลงทุน เพราะแม้ว่าในไทยจะมีการปฏิวัติรัฐประหารบ่อยครั้ง แต่ไม่มีความรุนแรงถึงขั้นนองเลือดเหมือนในบางประเทศ ขณะที่คนไทยมีอัธยาศัยดีและมีนิสัยรักงานบริการ จนทำให้การลงทุนในโรงแรมสุโขทัยมีชี่อเสียงและได้การยอมรับในระดับโลก” นายเพสัน กล่าว

ทั้งนี้นอกจากโครงการ เดอะ สุโขทัย เรสซิเด้นท์เซส แล้ว ก่อนหน้านี้ยังได้ลงทุนในโครงการ สิริ สาทร ซึ่งเป็นเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ ในนามของกองทุน ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ อีกทั้งยังได้ลงทุนในธุรกิจโรงแรมหลายแห่งทั้งภูเก็ต เชียงใหม่ และอีกหลายจังหวัด และได้ขายไปเนื่องจากสุขภาพของตนไม่แข็งแรง

นายเพสัน กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะลงทุนในไทยต่อเนื่อง โดยมีที่ดินในภูเก็ต ระยอง พัทยา และเชียงใหม่ ทั้งโรงแรม รีสอร์ท สนามกอล์ฟ รวมไปถึงการลงทุนในกรุงเทพอีกด้วย โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 9,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีข้างหน้านี้ ส่วนจะลงทุนในโครงการใดก่อนนั้นขึ้นอยู่กับการหาร่วมทุนได้เร็วเพียงใด สำหรับในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนในไทยไปแล้วกว่า 8,000-9,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในเมืองไทย บริษัทจะลงทุนเต็ม 100% ไม่ได้จะต้องร่วมกับผู้ร่วมทุนชาวไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างหาพันธมิตร โดยสิ่งสำคัญของการร่วมทุนบริษัทจะต้องเป็นผู้บริหารโครงการเองหรือมีอำนาจการบริหารให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้ใช้ความสามารถและประสบการณ์ที่มีมาบริหารโครงการได้มากที่สุด ส่วนคุณสมบัติของผู้ร่วมทุนนั้นจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญอสังหาริมทรัพย์ด้านใดด้านหนึ่ง หรือเสริมในจุดอ่อนของบริษัทได้

อนึ่ง บริษัทเอชเคอาร์ไอ เดิมใช้ชื่อ"ฮ่องกง รีสอร์ท" และได้เปลี่ยนมาเป็น เอชเคอาร์ไอ ในปี 2532 จนถึงปัจจุบัน โดยมีการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งในฮ่องกง และในภูมิภาคเอเชีย โดยมีรายได้รวม 6,600 ล้านบาท และมีกำไรสูงสุด 4,300 ล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us